ตอนที่ ๓๖ ฟาโรห์ที่รัก

 

        ฟาโรห์ที่รัก



 


                  ตำนานเล่าขานของชนพื้นเมืองที่อาศัยริมแม่น้ำไนล์ มักเล่าถึงราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้ง ตำนานเล่าขานของคนพื้นเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่ ตามตำนานเชื่อว่าราชินีผิวสีน้ำผึ้งนั้น ผู้ไม่มีหลักฐานที่มาว่านางมาจากที่ใด เป็นใครในพระราชวงศ์ และที่สำคัญมีผิวสีน้ำผึ้งซึ่งไม่ใช่คนในทวีปแอฟริกาซี่งอียิปต์แน่ ? หรือว่า..... ไม่ซิ ลองติดตามได้ใน 

"ฟาโรห์ที่รัก"

"ข้าขอปฏิญาณต่อเทพเจ้าเบื้องบนสุราลัยว่าข้าจะภักดีต่อความรักของเราเหมือนความรักแห่งเทพโอซิริสกับเทพีไอซิสที่ภักดีต่อกันจากความตายมาพรากจาก" 

"ตราบใดที่เทพฮาปียังทรงมีความกรุณาประทานลำน้ำไนล์อันชุ่มฉ่ำแก่อียิปต์อันหาประมาณมิได้ หม่อมฉันก็จะมอบถวายความรักและความภักดีนี้ให้แด่ฝ่าพระบาทตลอดกาล "  ภายใต้สายพระเนตรแห่งดวงตาแห่งเทพเจ้าจะดลบันดาลชักนำพาเธอมาพบรักกับเขา 






 

      

          ด้วยความเจริญอันชาญฉลาดของบรรพชนแห่งยุคบรรพกาล อียิปต์มิได้ร่ำรวยแต่วัตถุอันเป็นทรัพย์สินเปลือกนอกกายเท่านั้น แต่ยังร่ำรวยวัฒนธรรมความเชื่อของบริสุทธิ์อันทรงอำนาจเหนือจิตใจ อียิปต์เป็นชนที่สร้างความทึ่งให้แก่คนในยุคปัจจุบันทั้งความเจริญทางวิชาการทางการแพทย์ การรักษาพยาบาล และ เรื่องการรักษาศพซึ่งสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ท่ามกลางความร้อนแรงแห่งทะเลทราย ด้านอักษรศาสตร์ ตำนานเรื่องเล่าที่ถูกพรรณาขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติ อันมีเพื่อแก้ความสงสัยในเหตุและผลของการเป็นไปตามธรรมชาติ เทพเจ้าล้วนมีหน้าตาเป็นสัตว์ซึ่งแสดงให้เห็นความผูกพันธ์ของชาวอียิปต์กับธรรมชาติ วัฒนธรรมการดำรงชีพไม่ว่าการทำเกษตรกรรม การทำไวท์อง่น ขนมปัง และการหมักอาหาร ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของยุโรป อิยิปต์เองยังเรียนรู้ได้อยากน่าอัศจรรย์ วิชาที่โด่งดังไปทั่วโลก คณิตศาสตร์ก็เกิดขึ้นที่นี้ ดินแดนแห่งสุริยเทพ นี้คงเป็นแรงบันดาลในความอัศจรรย์แห่งยุคโบราณที่ทำให้เกิดนวนิยายหลากหลายแบบหลากหลายแรง จากนักเขียนหลายเชื้อชาติมักต้องหยิบยกขึ้นมาเกี่ยวข้องในนวนิยายของตน และฉันคนหนึ่งที่หลงใหลในความทึ่งอันมหัศจรรย์นี้ 



 




      ความรักมักทำให้เกิดเรื่องราวที่น่าประทับใจและมหัศจรรย์ได้เสมอ จะเป็นอย่างไรเมื่อความรักได้ข้ามฝ่ากาลเวลา จากคนใยยุคสมัยใหม่มาพบรักกับคนในยุคสมัยโบราณ  ยิ่งเป็นฟาโรห์ผู้ทรงอำนาจแห่งยุคโบราณ บุตรแห่งเทพยดาตามสมมุติเทพ หญิงสาวนักเรียนประวัติศาสตร์ที่หลงใหลในประวัติศาสตร์อียิปต์ ถูกโชคชะตาเล่นตลกให้เธอข้ามผ่านประตูแห่งกาลเวลามาโผล่ในยุคสมัยที่อียิปต์รุ่งเรือง มันช่างเหมือนกับความฝัน พระราชวังหินแกะสลักโบราณ รูปปั้นเทวรูปของเหล่าเทพเจ้าที่มีอยู่หัวมุมของเมือง เธอฝันไปหรือเปล่านี้ แต่แล้วด้วยอะไรก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เมื่อเธอได้มาพบรักกับฟาโรห์หนุ่มสุดหล่อแห่งยุคโบราณ กริ๊ด....  





               ภายใต้ดวงตาแห่งเทพเจ้าจึงนำพาให้เธอข้ามเวลามาพบรักกับฟาโรห์สุดหล่อแห่งยุคอียิป์โบราณ ชีวิดเธอจากหญิงสาวยุคสมัยใหม่ที่ต้องมาใช้เวลาในยุคโบราณและเธอจะเอาตัวรอดจากสถานะแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนแปลง จากสาวนักศึกษาที่ต้องมาเป็นราชินีแห่งฟาโรห์ 



     

ฟาโรห์สุดหล่อแห่งอียิปต์โบราณทรงหลงอะไรในตัวเธอนักหนาที่หลงเธอมาเป็นราชินี...! 

 


       ประตูแห่งกาลเวลาพร้อมที่เปิดรับทุกท่านเข้าสู้ ดินแดนอันมหัศจรรย์แห่งยุคอียิปต์โบราณ พร้อมด้วยความรักข้ามมิติแห่งห้วงเวลา ดวงตาแห่งเทพเจ้าพร้อมเปิดเบิกเนตรแล้ว 

  " คนเรามักจะคิดว่าการเดินทางของคนสองคนซึ่งแต่ละคนนั้นอยู่ในสถานที่ที่ไกลแสนไกล อาจจะไกลกันถึงคนละซีกโลกก็เป็นได้ แต่ยังสามารถมาประสบพบเจอกันได้ ซึ่งเขาเชื่อกันว่าเป็นเรื่องของพรหมลิขิต หรือความเป็นใจของเทพยดาเบื้องบนช่วยบันดาลให้เขาและเธอได้มาพบรักกัน สงสัยเขาคงเป็นคู่แท้กันจริงๆซึ่งด้วยพลังอำนาจอะไรบางอย่างอันเร้นลับชักนำพาให้ทั้งสองได้มาร่วมภิรมณ์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ   มันฟังแล้วช่างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ หากใครคนหนึ่งที่อยู่ในที่ๆอันไกลโพ้นสุดที่พรรณาจะเดินทางมาเพราะสิ่งอะไรบางอย่างที่เรามองไม่เห็นได้บ่งการเราอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่หากคนๆหนึ่งจากช่วงเวลาหนึ่งจะเดินทางมาพบกับคนอีกคนในช่วงของอีกเวลาหนึ่งมันจะเป็นไปได้ไหม? และหากเป็นไปได้มันคงจะเป็นอะไรที่มหัศจรรย์จนเหลือเชื่อ..... " 
         ดวงนาฬิการุ่นเก่าแก่แต่ดูคลาสสิกกรอบทำจากไม้ ตัวเลขบนหน้าปัดเป็นเลขโรมันช่างดูแล้วขลังยิ่งนัก ถูกติดไว้บนฝาผนังข้างห้องในภาควิชาประวัติศาสตร์มานงนาน อาจารย์หญิงแต่งกายด้วยชุดแบบสมัยก่อนที่คอเสื้อเป็นปกใหญ่ๆสีแสดเจ็บตา สวมแว่นตารูปปีกผีเสื้อสีแดงซึ่งแสดงถึงความเชยของท่านหนึ่งนั่งอ่านหนังสือเล่มใหญ่ซึ่งเพิ่งซื้อมาจากศูนย์หนังสือ เธอเปิดมันไปมาด้วยใจที่จดจ่อ ใบหน้าแสดงถึงความสงสัย สายตาอยู่กับตัวอักษรทุกตัวทุกวจี ทุกประโยค ทุกบทความ แต่แล้ว 
        "อาจารย์ค่ะทำอะไรอยู่ค่ะหน้าเครียดเชียว"
        "ตายจริง แม่พรพิงค์ทำอาจารย์ตกอกตกใจ"
       สาวนักศึกษาใบหน้าแบบไทยผิวสีน้ำผึ้ง คิ้วโค้ง ตาคม ใบหน้าทรงไข่รี ผมยาวสลวยถึงกลางหลัง แววตายิ้มมีเสน่ห์ หัวเราะในคออย่างสุภาพ
       "ขอโทษค่ะอาจารย์ผกามาศ อาจารย์คะกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ค่ะน่าสนใจจัง"
       อาจารย์ผกามาศเอาที่คั้นหนังสือคั้นหน้าไว้แล้วปิดหนังสือและส่งยืนให้แก่พรพิงค์ 
พรพิงค์รับหนังสือนั้นมาไว้ 
       "นี้มันหนังสือประวัติศาสตร์อียิปต์นี้ค่ะ น่าอ่านจังเลยค่ะ"
        "มันเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ใหม่ล่าสุดจ๊ะ อาจารย์เห็นบทความน่าสนใจที่เขากล่าวถึงฟาโรห์ผู้ไร้นาม แต่กลับสร้างความเจริญให้แก่อาณาจักรอียิปต์อย่างมหาศาล กับราชินีผู้มีผิวสีน้ำ"
       "เอ๊ะ อาจารย์ค่ะ ความจริงฟาโรห์ไร้นามมีตั้งมากมายหลายพระองค์ ซึ่งหลักฐานและข้อมูลพระนามเรืองหายไปตามกาลเวลาซึ่งเป็นเรื่องยากของนักโบราณคดีที่จะไขหรือแกะปริศนา..."

      "เรื่องนั้นน่ะอาจารย์เข้าใจดี มัมมี่ฟาโรห์บางพระองค์ยังเป็นปริศนาว่าพระองค์คือฟาโรห์พระองค์ไหน เพราะนามจารึกเลืองหายจริง แต่มันแปลกที่อีตรงราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งนี้ซิที่น่าสนใจ"

      "ราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้ง...หรือค่ะ! แปลกจริงอย่างที่อาจารย์ว่า คนอียิปต์ไม่ผิวขาวเพราะมีเชื้อสายของกรีก หรือ โรมัน หากเป็นผิวเข้ม ดำ ก็จะเป็นเชื้อแอฟริกา "

               "แต่ผิวสีน้ำผึ้ง...นั้นมีแต่ชนชาวเอเซีย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ประหลาดแห่งวงศ์การประวัติศาสตร์อียิปต์ ราชินีอียิปต์ที่เป็นคนเอเซีย เป็นเรื่องที่ประหลาดไหม เราลองคิดดูนะ  เอเซียหากเป็นเอเซียตะวันออกก็จะเป็นคนผิวขาวซีกอย่างยุโรป เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ส่วนเอเซียใต้ก็จะออกน้ำตาล เหลือง และขาวบ้างเป็นแห่งๆ แต่เอเซียตะวันออกส่วนมากเป็นผิวสีน้ำผึ้งซึ่งอารยธรรมของเอเซียตะวันออกนั้นมิอาจจะขจรกระจายไปได้ถึงอาณาจักรอียิปต์อันยิ่งใหญ่ได้เลย มันน่าแปลกเพราะอาณาจักรต่างๆในเอเซียตะวันออกเพิ่งพัฒนาตัวเมื่อคริตสศตวรรษที่ 19 นี่เอง อาณาจักรอียิปต์จบความยิ่งใหญ่ไปในช่วงที่อาณาจักรโรมันขึ้นมาเป็นจักรวรรติตะวันตกเสียด้วย เอเซียตะวันออกยังไม่มีความเจริญที่สูงส่งทางการปกครองเป็นรูปเป็นร่างเสียด้วย.... "
       "ที่อาจารย์พูดมาก็ถูกนะค่ะ แปลกจริงๆ"
       "ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงนิทานพื้นเมืองของชนเผ่าที่อาศัยอยู่แถวบริเวณแม่น้ำไนล์ เล่าถึงปาฏิหาริย์แห่งราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งว่า " ก่อนที่องค์ราชินีจะเป็นราชินีแห่งฟาโรห์ พระองค์ทรงพบกันด้วยรองเท้า"
      "รองเท้าหรือค่ะ..."
        "ถูกแล้ว เขาว่าฟาโรห์ทางเดินเล่นอยู่ในพระอุทยานและรองเท้ารูปร่างประหลาดทำจากวัสดุที่ไม่มีในอียิปต์ ฟาโรห์ทรงสั่งให้ช่างหลวงในราชสำนักคิดประดิษฐ์ขึ้นก็มิอาจจะหาวัสดุแบบนี้มาทำได้ ฟาโรห์จึงปรารถนาที่จะพบกับเจ้าของรองเท้าข้างนี้ แต่แล้วพบพระองค์พบเจอกับเจ้าของซึ่งเป็นสาวสีผิวน้ำตาลซึ่งเป็นความงามอันแปลกตา จึงขอนางเป็นราชินี..."
      "อะไรจะเหลือเชื่อได้อย่างนี้น่ะ อย่างกับซินเดอรเลล่า จากสาวปุถุชนกลายเป็นราชินี อะไรจะปานนั้น"
     "มันเป็นนิทานที่เล่าต่อกันมาไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า ซึ่งมีทางเป็นไปได้ว่า ราชินีผิวผู้น้ำผึ้งนั้นจะเป็นจริงเพราะตามที่หนังสือระบุว่า นักโบราณคดีค้นพบโลงพระศพแห่งเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่งซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นพระมเหสีแห่งฟาโรห์หรือไม่ก็พระธิดาแห่งฟาโรห์ ซึ่งภายในกลับไร้ซึ่งพระศพแต่แปลกมากที่มีรองเท้าแตะพลาสติกสีแดงอยู่คู่หนึ่งอยู่ภายใน จึงเป็นที่ตะลึงว่าของสิ่งนี้มันมีอยู่ในสมัยนั้นด้วยหรือ ซึ่งมันเป็นแบบที่เราใส่กันนี้เอง อาจารย์ยังซื้อรองเท้าแตะแบบนี้เลยไว้ตอนเข้าห้องน้ำกันลื่น มันประหลาดจริงๆ มีทฤษฎีว่าอาจจะเป็นเล่นตลกของโจรปล้นสุสาน แต่บางนักโบราณคดีว่ามันอาจจะของๆที่ปรากฏในยุคนั้นจริง และนิทานเรื่องราชินีผิวสีน้ำผึ้งที่ว่าทรงพบรักด้วยรองเท้านำทางที่ว่าทำจากวัสดุที่หาไม่ได้ในอียิปต์แถวยังมิอาจจะประดิษฐ์ได้เหมือนนี้ก็อาจจะเป็นข้อยืนยันว่า ตัวราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งนั้นเป็นชาวเอเซียตะวันออกในศตวรรษที่ 20 ได้ย้อนเวลาผ่านกาลเวลามาอยู่ในสมัยอียิปต์โบราณและได้เป็นถึงราชินีแห่งฟาโรห์ ซึ่งข้อสันนิฐานนี้มีความเป็นไปได้อย่างสูงมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะยืนยันเพราะมันช่างเหลือเชื่อเสียนี้"
       "เว้า.... มหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ หากเป็นจริงก็บ่งบอกได้ถึงว่ายุคสมัยของเราจะมีคนที่คิดประดิษฐ์เครื่องย้อนเวลาได้สิค่ะอาจารย์"

         พรพิงค์ยิ้มด้วยความดีใจ 
      "มันก็ไม่แน่น่ะ แต่เราก็ต้องฟังหูไว้หู ประวัติศาสตร์จะเชื่ออะไรก็ต้องมีข้อพิสูจน์หรือไม่ก็มีหลักฐานเสียก่อน"
       "ค่ะ อาจารย์"
       "และเรามาพบอาจารย์มีอะไรหรือเปล่า"
       "อ้อ มีค่ะ หนูรายงานวิชาประวัติศาสตร์เปรียบเทียบมาส่งอาจารย์ค่ะ"
       "ไหนเอามาให้อาจารย์ดูสิว่าเธอทำเรื่องอะไร"
       พรพิงค์หยิบแฟ้มเอกสารออกมาจากย่ามของเธอ เธอหยิบรายงานออกจากแฟ้มวางบนโต๊ะของอาจารย์ผกามาศ อาจารย์หยิบมันขึ้น
        "เนเฟอติติหญิงงามเบื้องหลังบัลลังก์ฟาโรห์ เธอนี้สนใจประวัติศาสตร์อียิปต์มิใช้เล่นเลยน่ะพรพิงค์"
        "ค่ะ อาจารย์หนูชอบค่ะ หนูฝันว่าสักวันในหนึ่งช่วงขีวิตต้องไปเหยียบอียิปต์ค่ะ"
        "แม่นางพรพิงค์ คงต้องเก็บเงินหัวโตกี่ชาติจ๊ะ ค่าเครื่องบินมันก็แพงแสนแพง"
        "หนูรู้ค่ะ แต่อย่างไรหนูก็ต้องทำให้ฝันหนูเป็นจริงให้จนได้ค่ะ" 
         "จ๊ะ...แม่คุณ"
         "อาจารย์จะให้คะแนนรายงานหนูเท่าไรค่ะ หนูของเต็มนะค่ะ"
         "ได้ไงย่ะ เธอ ต้องรอให้ฉันตรวจเนื้อหารายงานเธอก่อนสิ เลขมันถึงออกให้"
         "ค่ะอาจารย์ พูดอย่างกับหวยเลยค่ะ"
         "จ๊ะ ไม่มีเรียนแล้วหรือถึงมาจ้าแจ้วเจรจาอยู่เนี่ย ส่งรายงานเสร็จแล้วก็ไปได้"
         "ค่ะ อาจารย์หนูขอลาค่ะ"
          พรพิงค์ยกมือไหว้อาจารย์อย่างเรียบร้อย อาจารย์ผกามาศยืมไหว้รับและยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรและความจริงใจ จากนั้นเธอจึงลุกออกจากเก้าอี้ที่นั่งและออกจากห้องภาควิชาประวัติศาสตร์ไป เธอมักจะหยุดมองของโชว์ในตู้กระจก ถึงมันจะเป็นของปลอมที่ทำจำลองเลียนแบบก็ตาม ซึ่งมันเป็นรูปปั้นเทพเจ้าอียิปต์โบราณ เทพโอซิริส เทพีไอซิสที่ยืนอยู่คู่กัน
           "เราก็อยากที่จะยอมพลีใจและกายให้กับชายอันเป็นที่รักเช่นเดียวกับเทพีไอซิสผู้มีความรักที่แสนยิ่งใหญ่ต่อเทพโอซิริสผู้เป็นที่รัก..."
              เธอยิ้มและเดินจากไปท่ามกลางความสงสัยอย่างต่อเนื่องของข้อมูลที่เธอได้รู้มา มันเป็นอะไรที่ทรงคุณค่าทางจิตใจของเธอมาก ด้วยความชื่นชอบในประวัติศาสตร์อียิปต์  
       
         พรพิงค์เดินออกมาหน้ามหาวิทยาลัย ตรงไปยังป้ายรถประจำทางมีนักศึกษายืนบ้างนั่งบ้างรอรถโดยสารอยู่กลุ่มหนึ่ง เธอเดินเข้ามารออยู่ในกลุ่มนักศึกษานั้นด้วย 

         "พิงค์...." 

          พรพิงค์หันเข้าไปยังทางต้นเสียง 
         "เอ้า...กัญญา"
         "พิงค์กำลังจะกลับบ้านเหรอ"
         "จ๊ะ "
          "รีบกลับทำไมกันจ๊ะพิงค์ ไปเดินห้างเป็นเพื่อนกันดีกว่า ฉันว่ากำลังจะไปเดินเล่นตากแอร์อยู่พอดีเลย"
           "ก็ดีน่ะ กำลังอยากจะซื้อของพอดีเลยจ๊ะ"
           "เอ้ารถมาพอดีเลย"
          รถประจำทางปรับอากาศคันสีเขียวเข้มขับมาอย่างช้าๆเทียบที่ป้ายรถประจำทาง เมื่อประตูรถเปิดออก นักศึกษาค่อยๆเดินขึ้นรถจนถึงพรพิงค์กับเพื่อนได้ขึ้นไปนั่งบนรถประจำทางโดยเลือกนั่งข้างขวาของรถโดยกัญญานั่งติดหน้าต่าง กัญญาเปิดกระเป๋าแฟชั่นหนังของเธอออกแล้วหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาและยื่นให้แก่พรพิงค์
             "พิงค์..."
             "ขอบใจจ๊ะ"
             กัญญาก็เคี้ยวหมากฝรั่งและมองวิวข้ามทาง อันมีแต่กอหญ้าต้นธูปที่สูงริบ
            "มหาลัยเราก็มาตั้งอยู่ซะไกลตัวเมือง ดูซิมีแต่ทุ้งหญ้าธูปที่สูงริบ ดูแลน่ากลัว โจรขโมยก็มี อันธพาลท้องที่ก็เยอะ หากไม่ใช่ว่ามีโลโก้เป็นวิทยาเขตมหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อละก้อ ฉันคงไม่ยอมมาสอบติดที่นี้หรอกน่ะเนี่ย"
            "ก็คณะวิชาของเรามาอยู่ที่วิทยาเขตนี้นี่จ๊ะ กัญญา ฉันว่าดีออกได้มาอยู่ในที่ๆบริสุทธิ์หากไกลจากมลพิษในเมือง มีต้นไม้มีธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์ มันเหมือนบ้านแห่งการศึกษามากกว่าสถาบันการศึกษา"
           "ข้อนี้ฉันก็เห็นด้วยน่ะ แต่มันก็... ยังไงก็น่าจะสะดวกสบายกว่านี้เสียหน่อย"
           "โธ่หน้ากัญญา ที่นี้ก็เป็นเขตปริมณฑลไม่ไกลจากเมืองหลวงบ้านพวกเราเสียเท่าไรหรอก ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเราก็ถึงบ้านถึงเขตความเจริญแล้วจ๊ะ"
         "จ๊ะ แม่พรพิงค์" 
          พรพิงค์ยิ้มให้กัญญาอย่างเป็นมิตร กัญญาก็ยิ้มให้และหันหน้าไปมองข้างทางต่อ วิวทิวหญ้าธูปเริ่มหมดไปกลายเป็นบ้านตึกแถวไม้ ตลาดเก่าแก่ ชาวบ้านเดินเอาจ่ายใช้สอย เป็นตลาดที่ยังคงความเป็นแบบแผนเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ชาวบ้านไม่ไปจ่ายที่ห้างสรรพสินค้า พวกเขายังใช้ตลาดเป็นเสมือนแหล่งคลังเสบียงตามแต่เดิมในอดีตที่ปฏิบัติกันมา รวมไปถึงสินค้าและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็นต่อการดำรงชีพประจำวัน ท้องถิ่นแห่งนี้ไม่มีการตั้งของห้างสรรพสินค้าด้วยชาวบ้านต่อต้านการมาลงทุนของนายทุนที่หวังผลประโยชน์ โรงงานอุตสาหกรรมก็ไม่มีในเขตพื้นที่นี้ด้วย ช่างเป็นท้องที่ที่บริสุทธิ์อย่างที่พรพิงค์ว่าไว้ ต้นไม้ต้นใหญ่ๆที่ในเมืองหาเห็นได้ยากที่นี้กลับมีอยู่ตามข้างทางริมถนนตลอดทาง ร้านสะดวกซื้อที่เป็นโลโก้ของต่างชาติก็ไม่มีขึ้น มีแต่ร้านโชว์ห่วย ร้านขายของของคนจีนที่ขายของจำเป็นไม่กี่อย่าง ไม่มีของที่สุรุ่ยสุร่ายออกขายเสียเท่าไร พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า หากต้องการวิ่งเข้าหาความเจริญทางวัตถุไม่มีทางที่คุณจะหาได้จากที่แห่งนี้ รถประจำทางแล่นเร็วขึ้นจนหลุดจากความเป็นชนบทเข้าสู่ถนนใหญ่ ตึกปูนใหญ่ๆเริ่มเข้ามาสู่ในสายตาบ้าง ทิวแถวตึกมากมายที่ล้วนแต่ขายของที่สุรุ่ยสุร่าย เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาถูก ร้านอาหารแฟรนไชส์จากต่างชาติ เปิดกันอย่างมากมาย ผู้คนมากมายมาร่วมตัวกันอยู่ที่นี้ 
            "นี้สิ เห็นแล้วสบายตา ผู้คนที่เยอะแยะ ความเจริญ เสื้อผ้าแฟชั่น ความสะดวกสบาย สิ่งนี้ที่ฉันต้องการ"
           "แม่คุณคนเมืองจริงๆเลยน่ะ"
           "มันคือความศิวิไลย์ย่ะ พรพิงค์"
           พรพิงค์หัวเราะและยิ้ม กัญญาตาเริ่มเบินกว้างเมื่อเธอเห็นว่ารถประจำทางกำลังแล่นถึงห้างสรรพสินค้าอยู่อีกไม่ไกลเกินสายตา ป้ายชื่อของห้างสรรพสินค้าเห็นเด่นแต่ไกล ในใจของกัญญามีแต่ภาพของร้านค้าภายในห้างสรรพสินค้า ร้านค้าที่ขายของที่ฟุ่ยเฟือง เสื้อผ้าราคาแพงๆ ข้าวของเครื่องใช้จากต่างประเทศที่มีราคาแพง มันดูเป็นอะไรที่มันฝันๆเสียมากกว่า ในที่สุดรถก็มาหยุดยังป้ายรถประจำทางที่ใกล้ห้างสรรพสินค้า กัญญากับพรพิงค์ลุกขึ้นจากรถประจำทาง ทั้งสองหยิบเศษเหรียญเพียงไม่กี่บาทให้แก่คนเดินกระเป๋า และลงจากรถประจำทาง
          "สวรรค์...วิมานบนดินของฉันวันนี้ฉันจะช็อปปิ้งให้หายอยาก"
          "ฉันเห็นเธอก็ช้อปปิ้งซื้อโน่นซื้อนี้อยู่ที่วี่ที่วันนี้กัญญา"
           "การช้อปปิ้งคือชีวิตจิตใจของฉันนี้ คุณพ่ออุดส่าห์ออกบัตรเครติสมาให้ใหม่ ฉันจะสนองคุณพ่อด้วยการซื้อของที่ฉันอยากได้"
          "ตามใจเธอ เมื่อมันเป็นความสุขของเธอ เราเข้าไปกันเถอะ"
          "ไปกันเลย....."
          กัญญากับพรพิงค์เดินผ่านประตูกระจกเลื่อนก็สัมผัสได้กับความเย็นสบายของเครื่องปรับอากาศ มันช่างทำให้อารมณ์ดีเสียจริง ความอลังการของการตกแต่งภายในทำให้ทั้งสองตื่นตาตื่นใจกับเครื่องแขวนตามช่องบนของห้าง ด้วยเป็นอยู่ในช่องใกล้ฤดูร้อน ทางห้างสรรพสินค้าจึงจัดรูปแบบเป็นแบบอียิปต์ พีระมิดจำลองถูกวางใกล้กับบันไดเลื่อน รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆที่ทำจากโฟมและทาสีเสมือนจริงถูกตั้งตามชั้นต่างๆของห้าง พรพิงค์ยิ้มที่มุมปากแสดงความชื่นชอบ
         "ฉันว่าพิงค์คงชอบ เพราะพิงค์นะชอบอียิปต์มิใช่หรือ"
         "ฉันเคยมีความใฝ่ฝันมานานตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากจะไปอียิปต์ซะครั้งในชีวิต"
         กัญญาชวนพรพิงค์เดินดูสินค้าต่างๆภายในห้างสรรพสินค้า และยังช่วยพรพิงค์ถือของด้วย ทั้งสองสาวเดินท่ามกลางความหรูหราของห้างดังในเมืองหลวง จนในที่สุดทั้งสองเดินผ่านร้านขายหนังสือชื่อดังที่เป็นที่นิยมและมีสาขามากที่สุดในประเทศ 
         "กัญญาเข้าไปดูหนังสือเป็นเพื่อนฉันหน่อยซิ ฉันอยากได้หนังสือเล่มหนึ่งไม่รู้ว่าที่นี้มีขายหรือเปล่า"
 "ได้จ๊ะ"

          ทั้งสองนำถุงที่ถือกันมาฝากไว้ที่เคาว์เตอร์ พนักงานรับไว้เพื่อยื่นบัตรหมายเลขให้แก่พรพิงค์ 
         "ขอบคุณค่ะ"
         พรพิงค์ตรงดิ่งไปยังมุมหนังสือประวัติศาสตร์ เธอมองหาหนังสือเล่มที่อาจารย์ผกามาศอ่านนั้นเอง เธอมองหาแล้วหาอีกก็ไม่เจอ
        "พิงค์หาหนังสืออะไรอ่ะ เห็นเธอหาค้นตั้งนานแล้วน่ะ"
        "หนังสือประวัติศาสตร์อียิปต์เล่มที่ออกใหม่ล่าสุดเลยอ่ะ กัญญา ฉันเห็นอาจารย์ผกามาศซื้อมาเห็นว่าน่าสนใจพร้อมด้วยข้อมูลใหม่ทางประวัติศาสตร์อียิปต์ด้วยอ่ะ ฉันอยากได้มัน"
       "นั้นก็ค่อยๆหาน่ะ แต่มันคงจะหมดแล้วมั้ง ไม่นั้นฉันจะไปถามพนักงานให้น่ะ รอเดี๋ยว"
       "จ๊ะ กัญญา"
        กัญญาเดินจากไป ปล่อยให้พรพิงค์ค้นหาหนังสืออยู่เพียงคนเดียว และแล้วหญิงสาวเส้นดกดำยาวมาก ผิวสีขาวนวลอ่อน หน้าแหลมหนีบ เขียนขอบตาเข้มทั้งสองข้าง สวมผ้ายาวถึงพื้นสีน้ำเงินเข้ม ทาปากสีแดงชาด จึงทำให้ดูโดดเด่น เดินเข้ามาด้านข้างของพรพิงค์ เมื่อพรพิงค์หันมาทางเธอ ภาพที่พรพิงค์เห็นคือ หญิงสาวสูงศักดิ์ในเครื่องแต่งกายแบบอียิปต์โบราณ ใบหน้าที่ถูกเขียนขอบตาเหมือนอียิปต์ถูกน่าเกรงขาม เครื่องแต่งกายด้วยเครื่องทองที่งดงามอย่างน่าขนลุก ผ้าไหมสีขาวสะอาดตาดั่งอาภรณ์ ในมือถือคทาดอกบัว เครื่องอาภรณ์ทรงดวงตะวันแบบอียิปต์งูเห่าแผ่พังพาน แต่นัยตาของเธอกลับแสดงถึงความเป็นมิตร ยกมือขึ้นจะแตะที่ใบหน้าของพรพิงค์ 

        "คุณจะทำอะไรฉันค่ะ" 
         พรพิงค์ขยับตัวหนีแล้วชนกับหนังสือที่ฉันข้างๆจนล้ม พอพรพิงค์มองเธอคนนั้นอีกครั้ง ภาพของคนอียิปต์โบราณที่น่าสะพรึ่งกลัวกลับกลายเป็นหญิงสาวในวัยกลางคน คนหนึ่งเท่านั้นเอง 
        "หนูจ๊ะ หนูกลัวอะไรฉันหรือจ๊ะ"
       พรพิงค์เพ็งดูอีกทีก็ยังเป็นหญิงสาววัยกลางคนคนเดิม 
        "ขอโทษค่ะ หนูแค่สายตาไม่ดีเห็นหน้าของพีเป็นอย่างอื่นค่ะ"
        "สงสัยหนูคงไม่คุ้นกับคนเขียนขอบตาเข้มอย่างพี่สิ"
        หญิงสาววัยกลางคนหยิบหนังสือเล่มใหญ่ยื่นให้แก่พรพิงค์ 
        "คงเป็นหนังสือเล่มนี้ที่หนูตามหาใช่ไหมจ๊ะ"
         พรพิงค์รับไว้ 
         "ใช่ค่ะ นี้คือหนังสือที่หนูกำลังหาอยู่เลยค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะพี่"
       "หนูนี้มีสีผิวน้ำผึ้งที่สวยงามมากจริงเลยนะจ๊ะ"
        "ค่ะ ใครๆก็บอกว่าผิวของหนูสวย"

        "หนูชื่ออะไรจ๊ะ พี่อยากรู้จักรู้สึกถูกชะตาด้วย"
        "หนูชื่อพรพิงค์ค่ะ แล้วพี่สาวล่ะค่ะชื่ออะไร"
       "พี่ชื่อไอยรินทร์จ๊ะ แต่ชื่อในทางโบราณวัตถุพี่ชื่อไอซิส"
        "ไอซิสชื่อเทพีอียิปต์โบราณ"
        "หนูท่าทางจะชื่นชอบอียิปต์เอาเสียจริงๆเลย หากหนูสนใจของเก่าอียิปต์โบราณก็เชิญได้ที่ร้านของพี่น่ะ"
        ไอยรินทร์ยื่นนามบัตรให้แก่พรพิงค์ พรพิงค์รับไว้
        "ไอซิส ของเก่าโบราณ อยู่แถว..... เอ๊ะ นี่แถวบ้านหนูเลยนี้ค่ะ แสดงว่าร้านของเก่าที่พ่อเล่าว่ามีมาเปิดใหม่ก็เป็นร้านของพี่สาวนี้เอง หากหนูมีโอกาสว่างก็จะไปเยี่ยมเยือนร้านนะค่ะ"
       พอพรพิงค์เงยหน้าขึ้น แต่ไอยรินทร์หายไปเสียแล้ว 
       "เอ้า...หายไปไหนไวเหลือเกิน"
      "พรพิงค์ ฉันไปถามพนักงานประจำร้านมาแล้ว เขาดูข้อมูลจากคอมฯ แล้วน่ะ เขาว่าหนังสือเล่มนี้รับมาแค่ไม่กี่เล่มและมีคนซื้อไปหมดแล้ว"
      "นี้ไง กัญญา หนังสือเล่มที่ฉันตามหา"
      "เอ้าเธอหามันเจอได้อย่างไรอ่ะ พรพิงค์"
      "มีพี่ผู้หญิงใจดีเอามาให้ สงสัยสวรรค์คงอยากให้ฉันได้ขาย"
     พอพรพิงค์หันด้านหลังหนังสือก็ถึงกับอึ้งด้วยราคาของหนังสือที่เป็นหนังสือแปลและนำเข้ามาจากต่างประเทศรวมถึงเล่มหน้าใหญ่แถมเป็นแบบสีทั้งเล่มจึงมีราคาสูงมาก
      "ค่าขนมฉันทั้งเดือนหากจะเก็บยังไม่สามารถเก็บออมเพื่อมาซื่อหนังสือเล่มนี้ได้เลย"
      "ไม่น่าพิงค์ เดี๋ยวฉันช่วยออก"
      "ขอบใจนะกัญญา"
      จากนั้นทั้งสองก็ไปจ่ายเงินที่เคาว์เตอร์ พนักงานยิงรหัสสินค้าเสร็จถึงกับอึ้ง ทำหน้างงๆ 
      "เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะพี่"
      "คือว่าหนังสือเล่มนี้มันเป็นหนังสือมาใหม่ซึ่งราคามันแพงมากพออยู่ แต่แปลกที่ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ระบุถึงการลดราคา เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันไม่น่าเป็นไปได้ เตรียมผมไปตามผู้จัดการก่อนน่ะครับ"
      พนักงานก็ได้เดินจากไป แต่ไม่นานเกินรอ ผู้จัดการก็เข้ามาตรวจข้อมูลในคอมพิวเตอร์ 
      "ดูจากข้อมูลแล้วแสดงว่านี้เป็นเล่มที่มีโปรโมทชั่นพิเศษก็ได้น่ะ ตามศูนย์ใหญ่จึงมีการให้ลดราคาถึง เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์นะค่ะ"
      "จริงหรือค่ะ ดีใจจัง"
      "โชคดีจริงๆเลยนะค่ะนี้ หนังสือเล่มนี้ราคาแพงมากอยู่แต่กลับซื้อได้ในราคาที่ถูก"
     เมื่อพรพิงค์ได้หนังสือเล่มนี้มาได้อย่างเหลือเชื่อ เหมือนทุกอย่างเป็นใจให้เธอได้หนังสือเล่มนี้อย่างปาฏิหาริย์ พรพิงค์กับกัญญาเดินออกมาจากร้านขายหนังสือ ไอยรินทร์แอบมองสองสาวอยู่เบื้องหลังชั้นหนังสือ ใบหน้าของเธอค่อยๆกลายเป็นใบหน้าที่เขียนขอบตาแบบอียิปต์ 
       "แม่หนูนั้นคือการที่ฉันใช้เวทย์มนตร์ช่วยหนู เพราะฉันจะให้หนูได้อ่านหนังสือเล่มนี้เธอช่างเป็นสตรีที่งดงามเราจะสร้างวีรกรรมที่ประวัติศาสตร์ต้องจดจำ ราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งดั่งทองคำ ราชาแห่งความหวานทั้งมวล "
       จากนั้นไอยรินทร์หลับตาแล้ว พอเธอลืมตาขึ้นมาปรากฏว่าร้านขายหนังสือนั้นกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นวิหารหินอ่อน พื้นนั้นมีแต่ไอของหมอกควันสีขาวขจรกระจายไปทั่วบริเวณ และแล้วรัศมีสีทองก็แผ่ออกจากร่างของเธอ เสื้อชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้มกลายเป็นชุดผ้าไหมสีขาวเครื่องอาภรณ์ทองคำประดับด้วยอัญมณี มงกุฏดวงตะวันสัญลักษณ์แห่งความเป็นเทพเจ้า ใบหน้าที่แสนจะธรรมดากลับกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่ปรากฏตามฝาผนังแบบอียิปต์ ขอบตัวที่เขียนจนเข้มแบบอียิปต์ เธอเดินอย่างค่อยๆเข้าไปตามทางผ่านช่องแคบของเสาในวิหารไปทีละนิดทีละนิด แสงสว่างจากดวงตะเกียจที่ถูกแขวนไว้ช่วยให้มองเห็นช่องทางที่จะเดินไปได้ และแล้วความสว่างอันจ้าก็เผยออก ประตูกว้างที่อักษรจารึกแบบอียิปต์พร้อมภาพเขียนฝาผนังเป็นภาพของเหล่าเทพเจ้ามากมาย 
      "หม่อมฉันไอซิส มาถึงแล้วเพคะ"
      "เข้ามาเลย ไอซิส..."
       เทพีไอซิสเดินย่างเข้าภายในแสงสว่างอันจ้านั้น พอพระองค์ล้ำเข้าไปภายในประตูแห่งแสง เบื้องหน้าคือ บัลลังก์ทองคำเป็นรูปดอกบัวหงายสัญลักษณ์แห่งจักรวาล 
      "เทพีไอซิสธิดาแห่งข้า เจ้ากลับจากการเยือนโลกมนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง"
      "หม่อมฉันแต่พระสุริยเทพ บรมบิดาแห่งทวยเทพ รวมถึงสรรพชีวิตทั้งมวลในสากลจักรวาล ท่านผู้บังเกิดจากดอกบัวแห่งจักรวาล"
     และแล้วรัศมีจากบัลลังก์ทองก็ลดแสงลงจนปรากฏเป็นร่างๆหนึ่งนั่งอยู่ ร่างของบุรุษแต่งกายอย่างฟาโรห์อียิปต์โบราณแต่ศีรษะเป็นนกเหยี่ยว นัยตามีแต่ความเมตตา 
     "ไอซิสเหลนแห่งข้าจนอย่างเชยชมอะไรข้ามากไปเลย จนแจ้งแถลงสารแห่งเจ้ามาเถิดข้ารอฟังอยู่"
    "ฟาโรห์องค์ปัจจุบันในกาลเวลาของเรา กำลังขึ้นครองราชสมบัติเพคะ"
    "ฟาโรห์ถือได้ว่าเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อเจ้าบ้านที่ดีจำต้องดูแลลูกบ้าน ซึ่งลูกบ้านนั้นก็คือพสกนิกรของฟาโรห์ อันกษัตริย์ที่ดีต้องอยู่ในหลักแห่งศีลธรรมอันดีงาม"
    "หม่อมฉันแต่พระบรมบิดา อันจะเป็นฟาโรห์จำต้องมีการอภิเษกสตรีนางใดนางหนึ่งขึ้นมาเป็นราชินี"
    "ข้าเห็นว่าสตรีที่เหมาะสมจำต้องมาจากสายโลหิตเดียวกับฟาโรห์ ข้าเห็นว่าพระขนิษฐาแห่งฟาโรห์เหมาะสมควรอย่างยิ่ง เพื่อที่จะเป็นการปกป้องสายเลือดบริสุทธิ์แห่งเทพเจ้าที่มีอยู่ในกายหยาบแห่งมนุษย์"
    "มันก็ถูกหม่อมฉันกับท่านพี่โอซิริสเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตกันยังได้อภิเษกเป็นฟาโรห์และราชินี นี้จึงกลายเป็นราชประเพณีการสืบสันตติวงศ์แห่งเชื่อสายวงศ์กษัตริย์ แต่หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับการอภิเษกกันตามสายโลหิตอีกแล้วเพคะ"

   "ด้วยเหตุใดเหลนแห่งข้าจึงไม่ชอบ เมื่อมันเป็นสิ่งที่จะรักษาความเป็นสายเลือดแห่งเทพไว้ได้อย่างเข้มข้นที่สุดแล้ว"
   "แต่พระบรมบิดา จากประวัติศาสตร์องค์อดีตฟาโรห์แต่ละพระองค์พออภิเษกกับสตรีที่เป็นเชื้อพระวงศ์ หรือ พี่น้องร่วมอุทรมักจะมีเรื่องใหญ่ตามมาขึ้นสตรีกุมอำนาจในราชสำนักอันเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกในฝ่ายในเป็นบ่อยครั้ง หม่อมฉันจึงแลเห็นว่าผุ้ที่มีเหมาะสมที่จะทำให้ราชวงศ์เจริญขึ้นได้จำต้องเป็นสตรีที่อยู่เคียงข้างฟาโรห์เพคะ"
   "ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้า อันเรื่องบ้านการเมืองเป็นเรื่องของบุรุษ สตรีจะมายุ่งได้อย่างไร หรือแม่ไก่คิดจะขันแข่งกับไก่ตัวผู้หรือเช่นไร ส่วนเรื่องที่เจ้าว่าอำนาจของฝ่ายในก็เป็นจริงเห็นด้วย แต่เรามิอาจจะห้ามประสงค์ของกิเลสและตัณหาของมนุษย์ได้ไม่ แม้แต่เทพเจ้าด้วยกันเองยังแข่งขันแกร่งแย่งกันเพราะเรื่องของอำนาจเลย " 
    "อย่างเทพเซ็ตที่จะแย่งบัลลังก์ฟาโรห์โอซิริส หม่อมฉันคิดแล้วยังแค้นไม่หาย"
    "เรื่องนั้นมันก็จบไปนานแล้ว อย่างน้อยโอซิริสสวามีของเจ้าก็ได้เป็นฟาโรห์แห่งยมโลก เป็นใหญ่ในอาณาจักรเบื้องล่างแล้ว หลุดพ้นจากความริษยาแห่งเซ็ตแล้วนี้น่ะ"
   "เพคะ พระบรมบิดา"
    "ยังไง ข้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่เจ้าจะให้เชื้อพระวงศ์ที่มีเชื้อเลือดลูกหลานแห่งเทพเจ้า มาอภิเษกร่วมกับสตรีต่ำศักดิ์ปุถุชนธรรมดา"
    "เพคะ พระบรมบิดา หม่อมฉันข้าทูลลา"
      "เหลนแห่งข้า อยากได้โกรธเกลียดปู่เลย มันเป็นกฎจารีตอันเหมาะและสมควรแล้ว"
     เทพีไอซิสก้มศีรษะเล้กน้อยเพื่อเป็นการทำความเคารพแล้วก้าวเดินกลับออกไปจากวิหารแห่งแสงตะวันแห่งบรมเทพบิดา ราห์ เมื่อนางออกพ้นจากประตูแห่งแสง นางทำได้รู้สึกเกิดความหงุดหงิดภายในด้านในของจิตใจ นางต้องการที่จะสร้างสิ่งที่นางคิดแล้วว่าดีงามให้บังเกิดแก่ลูกหลานซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเทพฮอรัสผู้เป็นพระโอรสแห่งเทพีไอซิส แต่แล้วความหวังดีแห่งนางกลับถูกเทพราห์ทำลายไม่มีชิ้นดี 
     "ไม่เราต้องทำอะไรบางอย่าง ราชินีผู้มีผิวสีน้ำเงินจำต้องมีทางไป พระบรมบิดาคงไม่ล่วงรู้หรอกว่าข้ากำลังจะทำอะไร ใช่แล้วมีพระองค์นั้นผู้เดียวที่จะช่วยเรา พระองค์นั้นที่จะช่วยให้ความปรารถนาของเราสำเร็จ แต่พระองค์ทรงไปอยู่ที่ไหนเล่าในตอนนี้"
      เทพีไอซิสกำลังจะล่วงเกินพลังแห่งกาลเวลา พระนางได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไว้ในยุคของอียิปต์โบราณ การเดินทางข้ามผ่านของกาลเวลาที่พระนางเคยกระทำผิดไว้กำลังจะหวนกลับมาให้พระนางต้องแก้ไขอีกครั้ง 

 วิหารแห่งเทพเจ้าศิลปะแบบอียิปต์โบราณที่ลอยอยู่เหนือกลุ่มเมฆที่รองรับเสมือนพื้นดิน วิหารแห่งแสงตะวันอันเป็นพำนักแห่งเทพเจ้าราห์ เทพเจ้าสูงสุด ผู้ประทานแสงสว่างแห่งอรุณกาล เทพีไอซิสเดินลงมาจากขั้นบันไดอันทอดยาวจากวิหารแห่งแสงตะวันลงมายังปุยเมฆที่ค่อยไหลไปเสมือนดังลำธาร ถัดไปไม่ไกลกันนักจากวิหารแห่งแสงตะวันในห้วงของความมืดที่มีหมู่ดวงดาวมากมาย ระยิบระยับ วิหารสีเงินยวงอันส่องสว่างท่ามกลางึวามมืดเป็นแสงสีอันอ่อนโยนแห่งความกรุณา เทพีไอซิสทรงประทับบนเรือทองคำรูปนกอินทรีย์มุ่งไปยังวิหารอันไกลเข้าไปในความมืดแต่กลับสว่างระยิบระยับด้วยดวงดาวนับล้านดวง 
       "โอ้ พระองค์ทรงเป็นความหวังแสงสุดท้ายแห่งข้าแล้ว ท่านเสด็จปู่ท็อต จันทราเทพ พระอนุชาแห่งองค์สุริยะเทพ"
          และแล้วขณะที่พระเทพีกำลังประทับบนเรืออินทรีทองคำท่ามกลางบนกลุ่มเมฆ เรือนั้นก็แล่นไปเรื่อยๆ เข้าใกล้วิหารแห่งแสงจันทร์ อันเป็นที่พำนักแห่งจันทราเทพ นั้นเองแสงไฟดวงเล็กส่างส่องท่ามกลางความมืดของวิหาร ดวงไฟดวงเล็กจนแทบจะมองไม่เห็น เสมือนแสงไฟของหิ่งห้อยดวงเล็กๆ ปรากฏอยู่ที่กลางประตูที่เข้าสู่วิหารแห่งแสงจันทร์ เรือแล่นเข้าไปใกล้ๆจนถึงขั้นบันไดแห่งวิหาร เทพีไอซิสถึงกลับปลาบปลื้มใจ ที่แท้แสงไฟที่เห็นคือ แสงไฟจากดวงประทีปที่เทพเจ้าท็อตทรงถือไว้ ผิวกายสีขาวดั่งดอกบัวในลำน้ำไนล์ยามเช้า ศีรษะแห่งเทพที่เป็นนกกระสาชูคอ แต่แววตาทอเป็นประกายแห่งความเป็นห่วงออกมาให้เห็น เทพีก้มศีรษะทำความเคารพ
        "เป็นเช่นไรเหลนข้า เดินทางมาหาข้าคงมีธุระเป็นแน่แท้"
        "อยู่แล้วเพคะ ท่านเทพ แต่ทำไมท่านถูกต้องออกมารอและถือดวงประทีปที่จุดจากน้ำมันรอหม่อมฉันด้วยเล่าเพคะ"
       "ก็ข้าเห็นว่าเจ้าเดินทางมาไกลจากวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ช่วง เจริญด้วยแสงสว่างแห่งเทพราห์ และอุตส่าห์เดินทางมาท่ามกลางความมืดตรงดิ่งมายังวิหารแห่งข้าที่เจริญเพียงแค่แสงสว่างอันน้อยนิด ข้าจึงกลัวเจ้าจะไม่เห็นวิหารข้า จะแล่นเรือเลยไปออกทะลุขอบเขตแห่งจักรวาลแล้วมันจะซวยช่วยเจ้ากลับมาไม่ได้แล้วจะแย่เลยมายืนส่องไฟรอให้เจ้าเห็นนี้ไง"
    "โธ่ๆ แสงแห่งดวงดาราน้อยใหญ่ล้วนแล้วส่องทางให้แก่หม่อมฉันเพคะ เอาเถิดพระองค์หม่อมฉันมาทีนี้ก็อย่างที่พระองค์ว่า หม่อมฉันมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระองค์"
    "เช่นนั้นก็เข้ามาสนทนากันภายในวิหารแห่งข้าก่อนล่ะกัน"
     "เพคะ"
      เทพีไอซิสเดินตามอยู่เบื้องหลังแห่งเทพท็อตพากันเดินย่างก้าวเข้าไปภายในความมืดแต่แล้วด้วยรัศมีอันเบาบางแห่งเทพท็อตทำให้ขจัดซึ่งความมืดมิดออกไปได้ จนเห็นโต๊ะม้าหินอ่อนกับเก้าอี้ม้านั่งถูกวางไว้สองตัวอยู่ไกลสุดสายตา ข้างทางภายในวิหารมีชั้นหนังสือมากมายทั้งม้วนกระดาษปาปริรุสที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ และตู้ชั้นๆที่ถูกวางสิ่งของต่างๆที่ดูแปลกตา  เทพีหยุดดูเครื่องแก้วที่ประหลาดรูปร่างพิกลพิการผิดจากที่เคยพบเห็น พระเทพีหยิบจับมันและลงมันยังที่เดิม
    
         "นั้นมันเป็นเครื่องมือที่ใช้ทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในยุคของอนาคต ข้าได้ลองไปมาแล้วได้นำมาทดลองตามเขาดู เล่นๆเป็นการฆ่าเวลาในตอนเวลาเหงาๆ"
       "สมแล้ว ที่เป็นเทพแห่งกาลเวลา และความรู้เพคะ"
       "ข้าก็รู้เทพี... ว่าเจ้ายังแอบไปเล่นบนโลกมนุษย์ในยุคอนาคตอยู่เหนือกัน เรื่องนี้เป็นที่ธรรมดามากๆของเทพ องค์ไหนอยากไปไหนก็ไปได้ ยิ่งเจ้าด้วยแล้วเป็นเทพีแห่งเวทย์มนตร์คาถายังไงเจ้าก็ยังมีความแสดงที่จะได้มากกว่าเพื่อน"
       "ถูกเพคะ หม่อมฉันยังได้ถือโอกาสเปิดร้านขายของเก่าเป็นการเล่นๆตอนไม่มีอะไรทำเหมือนกันเพคะ ยังได้แต่งกายแบบสมัยใหม่ที่อาจจะไม่อลังการแต่ก็งดงามสำหรับคนในช่องนั้นเพคะ ได้เดินเล่นในห้างสรรพสินค้าซื้อของราคาแพงๆใช้เพื่อเป็นหน้าเป็นตา ว่าไปมนุษย์นี้ก็ทำอะไรกันแปลกๆ"
      "แต่เจ้าเห็นว่าเรื่องนั้นเป็นอะไรที่แปลก ก็ยังอุดส่าห์ไปทำแปลกตามเขา"
      "ใช่เพคะ"
      เทพท็อตกับเทพีไอซิสเดินจนมาถึงยังโต๊ะม้าหินอ่อนอันเย็น เทพท็อตนั่งลงพร้อมด้วยสวมแว่นตา ส่วนเทพีไอซิสนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอีกตัว 
     "แลดูเป็นนักวิชา"
     "ข้าอยู่มาตั้งแต่ก่อกำเนิดของจักรวาลและสรรพสิ่งจนถึงบัดนี้ก็ร่วมหลายพันกว่าปีจะหมื่นได้แล้วกระมัง สายตาก็เริ่มแย่ มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แจ๋วมากของมนุษย์ในยุคอนาคต ข้าเลยเห็นดีเห็นงามว่ามันมีประโยชน์แล้วซื้อเอามาใส่บ้าง เวลาอ่านเวลาเขียนนี้มันเห็นชัดเจนดีนักแล"
    "หม่อมฉันก็มีแต่เป็นแว่นแฟชั่นเพคะ"
     เทพีไอซิสแบมือออกและแล้วแว่นตากันแดดแฟชั่นสีม่วงสีสดก็ปรากฏขึ้น แล้วเทพีก็นำมันมาใส่บนใบหน้า 
    "เจ้าก็ใช่ย่อยนะไอซิส ไหนลองบอกธุระของเจ้ามาก่อนสิว่ามาหาข้าด้วยเหตุอันใด"
    "หากท่านเป็นเทพแห่งกาลเวลา ท่านนะจะทราบถึงตำนานเรื่องเล่าที่คนในยุคอนาคตศตวรรษที่ 20 กำลังสงสารอยู่ถึงเรื่องเล่าตำนานของ ราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้ง"
    "เรื่องนั้นข้าทราบดี ก็เจ้าเองที่ทำให้มันวุ่นวาย ราชินีแห่งฟาโรห์ที่เจ้าทะเลาะกับเทพราห์เมื่อหลายพันกว่าปีก่อนที่พระองค์ทรงไม่ยินยอมให้ฟาโรห์องค์ปัจจุบันอภิเษกจากสตรีที่มิได้เป็นเชื้อพระวงศ์หรือสตรีปุถุชนต่ำศักดิ์ ด้วยว่าเจ้าเห็นว่าหากจะอภิเษกกันในสายโลหิตก็จะมีเรื่องปัญหาตามมาอย่างเรื่องที่ราชินีวางยาพิษฟาโรห์เพื่อให้ลูกตนเองขึ้นเป็นฟาโรห์เพื่อที่นางจะมีได้อำนาจ"

     "ท่านเชื่อไหมว่าเหตุการณ์นี้มันกำลังจะซ้ำรอย"
     "ว่าไปแล้วก็ช่วงนี้แล้วนี่ที่เจ้าชายฮาเธอร์ฟิสจะขึ้นเป็นฟาโรห์"
     "ถูกต้องเลยเพคะ ซึ่งเขาสืบสายเลือดมาโดยตรงจากฮารัสโอรสแห่งหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากให้ลูกหลานเหลนโหลนของหม่อมฉันต้องมาตายเพราะยาพิษหรือการลองสังหารมันน่าอนาถใจเพคะ"
     "มันจะดีหรือไอซิส หากเทพราห์พระองค์ทราบเข้า พระองค์จะกริ้วเจ้าน่ะจะบอกให้"
     "หากถึงตอนนั้นแล้ว หม่อมฉันจะขอรับผิดชอบเอง"
     "เจ้าพูดได้สวย ถึงอย่างไรสตรีผู้มีสีผิวดั่งน้ำผึ้ง ราชาแห่งความหวาน อันมีค่าดั่งทองคำก็ไม่ปาน เจ้าจะหานางได้ที่ไหน ครั้งนั้นข้าจำได้ว่าในห้วงเวลานั้น นางเป็นหญิงที่งดงามมาก เป็นคนจากโลกอนาคต สาวที่ทันสมัยและทราบได้อย่างลึกซึ่งถึงอดีตแห่งอียิปต์และก็อนาคตแห่งอียิปต์"
    "สตรีผู้คนหม่อมฉันได้เลือกไว้แล้วเพคะ"
    "ไวดีเสียจริง แสดงว่าเจ้าพบนางแล้ว"
     "นางเป็นคนของศตวรรษที่ยี่สิบ มีความปราชญ์ปราดในด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ และประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เข้าใจ รัก และลึกซึ้งในประวัติศาสตร์แห่งอียิปต์เป็นอย่างดี นางยังรู้จักว่านามของข้าเป็นนามของเทพีอียิปต์โบราณ"
    "เจ้ากล้าเผยนามที่แท้จริงแก่มนุษย์เชียวหรือ"
     "นางเองไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าหม่อมฉันคือเทพีไอซิสตัวจริงเสียจริง เพราะหม่อมฉันว่ามันเป็นชื่อเฉพาะในวงการของเก่า"
    "ตลกดี พระนามแห่งเทพีอันศักดิ์สิทธิ์กลับกลายเป็นเพียงแค่ชื่อที่ใข้กันเป็นทางการเฉพาะการซื้อขายของเก่า"
    "ทำเช่นไรได้เล่าเพคะ ท่านต้องช่วยหม่อมฉันน่ะ หม่อมฉันทำเองเพียงลำพังมิได้"
    "เมื่อเจ้าก่อนที่จะรับผิดในคราวนี้ต่อเมื่อเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงองค์ราห์ ข้าก็จะช่วยเจ้าอีกครั้ง และข้าว่าครั้งแต่ไปในอนาคตกระแสเวลาด้วยทำให้เจ้าต้องส่งสตรีผิวน้ำผึ้งคนนี้ไปอีกเป็นแน่แท้เพราะเราฝ่าฝืนกระแสธารแห่งห้วงเวลา"
     "เพคะ"
    "แต่ไปแล้ว แว่นตาแฟชั่นอะไรของเจ้านี้ก็สวยดีนะ ของข้าลองใส่บ้างซิ"
    "ได้เพคะ"
    เทพีไอซิสถอดแว่นตากันแดดมอบให้แก่เทพท็อต เทพแห่งดวงจันทร์ 

     "เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง"
     "ทรงเท่ห์ไปเลยเพคะพระองค์ หากข้าได้ไปโลกมนุษย์จะซื้อมาฝากนะเพคะ"
      เทพท็อตทรงยิ้มด้วยความสุข แล้วถอดแว่นคืนเทพีไอซิส
     "ตอนข้าไปโลกมนุษย์ข้าก็เห็นแว่นตาหลากหลายแนว แว่นตาแบบนี้ข้าก็อยากที่จะใส่มัน แต่ด้วยความอายไม่กล้าซื้อนี้สิเลยไม่ได้ซื้อ กลัวเขาหาว่าข้าเป็นเพศที่สามอะไรอย่างนั้น"
     "ตายจริงท่าน ชายหนุ่มหล่อๆบนโลกเขาก็ออกที่จะซื้อใส่กัน ไม่มีมาว่าท่านเป็นเพศที่สามหรอกเพคะ อย่างไรหม่อมฉันจะซื้อมาให้สิบอันเลยหากท่านช่วยหม่อมฉันส่งหญิงสาวนางนั้นไปเป็นราชินีแห่งฟาโรห์อันปัจจุบัน"
    "ได้เลย จัดไป...."
    ทางด้านของโลกมนุษย์ พรพิงค์กับกัญญากำลังเดินไปยังร้านไอศครีมซึ่งตกแต่งร้านเป็นแบบตะวันตก มีภาพถ่ายของวิวในต่างประเทศ เช่น ทุ่งดอกหญ้าสีเหลือง ทุ่งหญ้าริมข้างทางรถไฟที่กำลังแล่นผ่าน ตุ๊กตากระเบื้องที่ถูกจัดตั้งโชว์ตามชั้นที่จำลองเป็นเตาผิง จำลองว่าเสมือนอยู่ในบ้านแบบตะวันตก โคมไฟตามผาผนักที่เป็นโคมไฟรูปดอกลิสลี่สีขาวแต่แสงไฟสีเหลืองอ่อนนวล ดูแล้วสบายตา แต่ละโต๊ะปูนด้วยผ้าลายสก๊อตสีแดง-ขาว มีแจกันสีขาวอันเล็กๆปัดดอกกุหลาบสีชมพูอ่อนเห็นแล้วชื่นใจ พรพิงค์กับกัญญาเลือกนั่งโต๊ะที่หลบมุมเพื่อความเป็นส่วนตัว พอทั้งสองคนนั่งลง พนักงานสาวเสริฟก็เข้ามาพร้อมยืนเมนูให้ ทั้งสองรับเมนูนั้นไว้แล้วเปิดออก 
       "ขอวานิลาซันเดย์นะค่ะ กับ วอฟเฟิลช็อกโกแลตกล้อมหอมค่ะ"
       "ขอกัญญาสั่งไปดูน่ากินจัง นั้นของฉันขอสตรอเบอร์รี่ วานิลาซันเดย์ค่ะ"
      "ค่ะ รอสักครู่นะค่ะ" 
      พนักงานเสริฟสาวหยิกเมนูและเดินจากไปพร้อมรายการเมนูที่พรพิงค์และกัญญาสั่ง 
      พรพิงค์ได้หยิบหนังสือที่เธอซื้อมาขึ้นมา 
      "พิงค์หนังสืออะไรเหรอเห็นเธออยากได้นักได้หนา แต่ก็แปลกประหลาดอยู่น่ะ หนังสือนี้ก็ใหม่เพิ่งออกวางขาย แต่ทำไมมันมีโปรโมทชั่นพิเศษอย่างกับหนังสือกลายปีหรือไม่ก็หนังสือเก่าค้างสต๊อกอ่ะ"
      "คงจะเป็นโชคช่วยละมั้ง แต่มันก็ไม่น่าแปลกอะไรมากน่ะ กัญญา เพราะหนังสือแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจของใครมากนัก มันอาจจะเป็นอะไรที่เป็นนโยบายจุดขายของทางร้านก็ได้"
     "แม้แต่ผู้จัดการยังไม่รู้เนื่องน่ะ มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า"
     "ช่างมันเถิด ฉันไม่สนใจอะไรแล้ว เพราะว่าตอนนี้ฉันได้หนังสือเล่มนี้มาครอบครองเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนจีน"
     "นั้นซิน่ะ เราจะคิดไปทำไมให้เหนื่อยหัว เพราะทุกวันนี้เราก็ปวดเหนื่อยหัวกับการเรียนอยู่แล้วว่าไปพอหลุดออกจากห้างแห่งนี้ ฉันก็ต้องคงไปงมกับวรรณกรรมที่อาจารย์ให้บังคับอ่าน อ่านอะไรกันนักกันหนา แต่มานั่งเขียนวิเคราะห์ต่ออีก เมื่อไรมันจะจบซะทีน่าเบื่อเรียนแล้ว"
      "ใจเย็นน่ากัญญา เธอก็นักศึกษาเอกภาษาเยอรมัน วรรณกรรมเยอรมันก็มากมายมักแฝงด้วยปรัชญาตลอดเละ"
     "ใช่ซิ ฉันก็ต้องอ่านหนังสือปรัชญาที่แสนจะหิน นั่งอ่านไปนั่งอ่านมาหน้าเดียวเกือบใข้เวลาไปหมดครึ่งวันไม่ต้องมาหาอะไรรับประทานแล้วพิงค์เอย"
     พิงค์ก้มหน้าอ่านจับตาที่หนังสือ ปล่อยให้กัญญาพูดบ่อยไปฝ่ายเดียว เธอไหลจมดิ่งลงสู่วังวนแห่งความอยากรู้อยากเห็น เธอเปิดไปตีละหน้าตีละหน้า 
      ราชินีผู้มีผิวกายสีน้ำผึ้ง หากเป็นตามที่อาจารย์ผกามาศบอกเรา แสดงว่าราชินีพระองค์นี้ต้องเป็นชาวเอเซีย ซึ่งในสมัยนั้น เอเซียกับอียิปต์มันเป็นเรื่องอะไรที่ไกลอันมาก และอีกอย่างในยุคนั้นการติดต่อมายังเอเซียตะวันออกก็เป็นเรื่องที่ยากพอควร และยิ่งคนผิวสีน้ำผึ้งมักเป็นคนพื้นเมืองในเอเซียตะวันเฉียงใต้เสียมากกว่าที่อื่น  มันเป็นเรื่องที่แปลกเอาเสียมากน่ะนี้ 
     "ยายพิงค์เธอฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่า จดจ่ออยู่แต่หนังสือนั้นอยู่ได้ ฉันใคร่อยากรู้เสียจริงว่าหนังสือเล่มนี้มันมีอะไรบ้าง ไหนบอกฉันมาสิซึ่งสรรพคุณของมัน"
     "คือว่าตอนนี้ฉันกำลังสนใจข้อมูลใหม่ล่าสุดทางประวัติศาสตร์อียิปต์"
     "มิน่าล่ะ พิงค์ถึงอยากได้นัก แม่คนบ้าอียิปต์ สงสัยชาติที่แล้วแม่คุณคงเคยเกิดเป็นราชินีฟาโรห์ หรือไม่ก็อูฐในทะเล หรือไม่ก็ฮิโปโปเตมัสในลำน้ำไนล์ ถึงชอบนักเนี้ย อียิปต์อ่ะ"
     "กัญญาเธอก็ว่าไป นี่ข้อมูลเขาว่า ปรากฏพบโลงพระศพขแงฟาโรห์ไร้นามอีกแล้ว พร้อมโลงพระศพที่คาดว่าอาจจะเป็นราชินีในตำนาน ราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้ง"
     "ราชินีผุ้มีผิวสีน้ำผึ้งหรอก อะไรตั้งแต่เกิดมาฉันก็รู้จักแต่คลีโอพัตรานี้มันอะไรราชินีผิวสีน้ำผึ้งมันน่าสนใจตรงไหนแม่นักประวัติศาสตร์"
    "ลองคิดดูนะกัญญา คนที่มีผิวสีน้ำผึ้งนั้นจะต้องเป็นคนเอเซีย ซึ่งสมัยเอเซียนั้นอารยธรรมในเอเซียจะมาเทียบเท่าก็นะจะเป็นจีนกับอินเดียตอนต้นๆของอารยธรรม ซึ่งจีนเป็นเอเซียตะวันออกผิวจะเป็นสีขาวเสียมาก ส่วนอินเดียก็ช่วงแรกๆของการมาของชาวอารยันที่เข้ามาก็มักจะเป็นผิวขาว ไม่ก็สีน้ำตาล อาจจะดำด้วยเพราะเป็นคนพื้นเมือง ซึ่งตัดออกไปได้เลย ทั้งสองอารยธรรมนี้ และไม่เคยมีข้อมูลว่าสองอารยธรรมนี้จะไปถึงอียิปต์ อาจารย์ผกามาศว่าคนที่มีผิวสีน้ำผึ้งนั้นต้องเป็นเอเซียตะวันตกโดยเฉพาะเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ด้วย ซึ่งตอนนั้นอาณาจักรของเราอย่างสุโขทัย อโยธยา รัตนโกสินทร์ หรือ เพื่อนบ้านอย่างเวียงจันทน์ พุกาม หงสาวดี แปร เวียต ยังไม่เกิดเลย "
      "หากเป็นอย่างที่อาจารย์ผกามาศสุดเชยพูดมาก็ถูก ตอนแรกฉันคิดว่าต้องเป็นคนไทยโบราณกระเด็นไปไกลถึงอียิปต์และได้เป็นราชินีอียิปต์ พรพิงค์ฉันว่าต้องเป็นแบบเธอแน่ หญิงสาวชาวเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ผิวสีน้ำผึ้ง ฉันว่าต้องเป็นบรรพบุรุษเธอแน่ๆ ไม่สิไม่สิต้องเป็นเธอไม่ชาติที่แล้ว ต้องใช่แน่ๆพรพิงค์ ฉันว่าชาติที่แล้วเธอต้องเป็นราชินีอะไรๆที่ผิวสีน้ำผึ้งแน่ๆ ฉันรับรองฟันธง"
     "จะบ้าเหรอกัญญา พูดแรงไปนะเนี่ย"
     "พิงค์ไม่เคยสังเกตตัวเธอบ้างเหรอ หญิงสาวชาวเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ ผิวสีน้ำผึ้ง เธอชัดๆเลยเนี่ย เธอเองก็ผิวสีน้ำผึ้ง และเธอเองก็รักและหลงใหลในความเป็นอียิปต์ ฉันเห็นน่ะว่าตอนเธออยู่บ้านเธอต้องเขียนขอบตาแบบผู้หญิงอียิปต์โบราณแน่ๆ แบบคลีโอพัตราแน่ๆ ฉันว่าใช่"
     "จะบ้าเหรอ ฉันไม่เคยเขียนขอบตาแบบนั้น แต่งหน้าเองยังแต่งไม่ค่อยจะเป็นเลย และอีกอย่างหากฉันคือราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งก็ดีสิ "
    "แต่นั้นมันเป็นอดีตชาติของเธอน่ะ ไม่ก็อาจจะเป็นบรรพบุรุษของเธอ นั้นแสดงว่าเธอเป็นเชื้อพระวงศ์ต้องขอกราบสวัสดีเจ้าหญิงพรพิงค์เพคะ"
    "ฮา...ฮา...ฮา.. ฉันอายแล้ว กัญญาบ้า..."
    "ขอโทษนะค่ะ ไอศครีมกับของที่สั่งได้แล้วค่ะ"
     พนักงานหยิบไอศครีมลงจากถาดที่ถือวางเบื้องหน้าพรพิงค์กับกัญญา 
     "กลิ่นวานิลาขึ้นจมูก น้ำลายไหลจริงๆ"
     "วอฟเฟิลของกัญญาน่ากินจัง"
     "กินได้นะพิงค์ฉันสั่งมาเผื่อเธอด้วยแบ่งกันกิน"
    พอทั้งสองกำลังกินไอศครีมที่สั่งไปได้อย่างเอร็ดอร่อยและสนทนากันไปนั้นเอง 
     "กินกันน่าอร่อยเชียว"
     พรพิงค์กับกัญญาหันไปมอง 
      "เอ้า พี่วินไม่ได้อย่างไรค่ะเนี่ย"
      "พี่ชายพิงค์หรอก"
      "ใช่ครับ ผมพี่ชายพิงค์ น้องคงเป็นเพื่อนของพิงค์"
      "ชื่อกัญญาค่ะ หรือเรียกว่ากัญเฉยๆก็ได้ค่ะ"
      "พี่ชื่อภัทรวินครับ แต่เรียกพี่ว่าพี่วินก็ได้ครับ"

      "พี่วินค่ะ พี่มากับใครค่ะ"
      "คือที่ทำงานพี่เลิกงานเร็วเพราะเจ้านายเขาต้องเดินทางไปต่างประเทศ เลยขับรถมาแวะดูของหน่อย พอเดินใกล้จะกลับแล้วเดินผ่านร้านไอศครีมเห็นจากกระจกหน้าร้านว่าเรากำลังนั่งกินไอศครีมกับเพื่อนเลยเข้ามาหา"
     "นี้เอง แต่เอ๊ะ ทำไมพี่วิน พี่ชายพิงค์ถึงผิวขาวสไตล์เกาหลีๆแบบนี้ แต่น้องสาวผิวคนละสีเลย"
     "คือว่าพี่อ๊ะเป็นลูกติดพ่อครับ ส่วนพิงค์อ่ะเป็นลูกติดแม่ คือพ่อของพี่กับแม่ของพิงค์มาแต่งงานกันอ่ะจ๊ะ"
     "ตายจริงที่แท้ก็เป็นพี่เลี้ยง น้องเลี้ยงกัน ถึงว่าแล้วพี่น้องอะไรกันไม่เห็นเหมือนกันเลย"
     "ยายกัญก็... พี่วินค่ะมานั่งทานไอศครีมด้วยกันสิค่ะ ไม่ล่ะพี่ซื้อของที่พี่ต้องการแล้วว่าจะกลับบ้าน เราจะกลับบ้านเลยไหมจะได้นั่งรถพี่ไป"
    "ค่ะ ขอหนูติดรถกลับไปด้วยนะค่ะ บ้านหนูไม่ไกลจากที่นี้ค่ะ"
    "ยายกัญ ไม่มีความเกรงใจเลยหรือ"
    "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่จะไปส่งน่ะครับ"
     และแล้วทั้งสามก็ออกจากร้านไอศครีม ภัทรวินออกค่าไอศครีมให้พรพิงค์กับกัญญา 
     "ขอบคุณคุณพี่ภัทรวินมากนะค่ะที่อุตส่าห์ออกค่าไอศครีมให้"
     "น้องกัญก็เรียกชื่อพี่ซะเต็มยศเลย ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องแค่นี้เอง"
     "เดี๋ยวเราออกไปรอที่หน้าประตูเลื่อนน่ะพี่จะขับรถออกจากที่ลานจอดมารับ"
     "ค่ะพี่วิน"
      ภัทรวินเดินออกไปเพื่อที่จะไปขับรถมารับพรพิงค์กับกัญญา ทั้งสองคนเดินออกไปยังหน้าประตูเลื่อน 
    "พี่เลี้ยงเธอหล่อจังเลย ตี๋ๆสไตล์เกาหลีน่ารักมากเลยพิงค์ เธอไม่เห็นเคยบอกฉันเลยว่ามีพี่ชายหล่อขั้นเทพอย่างนี้"
    "ก็เธอไม่เคยถามฉันนี้ และฉันจะบอกเธอทำไมว่าฉันมีพี่ชายหล่อ"
     "ฉันชอบพี่ชายเธอแล้วสิพิงค์ ช่วยฉันทีสิ"
     "ตายแล้ว เรื่องนี้ฉันขอไม่ยุ่งดีกว่า หากเธอชอบพี่วินเธอต้องโชว์ความสามารถ"
     "และพี่เขามีแฟนหรือยังอ่ะ"
      "เท่าที่รู้นะ รู้สึกว่าพี่เขาเลิกกับแฟนเก่ามาได้ครึ่งปีแล้วล่ะ ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอีก"
    "ตายจริง ชายหนุ่มกำลังขาดรัก..."
     รถเก๋งคันสีเงินบอลล์ก็เข้ามาจอดหน้าทั้งสอง กระจกข้างคนขับก็ถูกเลื่อนลง 

     "ขึ้นเลยสาวๆ"
     กัญญายิ้มเล็กยิ้มน้อยที่ได้นั่งรถของชายที่เธอเริ่มที่มีความรู้สึกต่อเขา ภัทรวินขับรถต่อไปและได้ตามทางบ้านของกัญญาจนขับมาถึงหมู่บ้านจัดสรรที่ใหญ่ในใจกลางเมือง บ้านของกัญญาใหญ่โตอย่างกับคฤหาส์น มีสระว่ายน้ำในบ้าน สวนหินที่จัดไว้อย่างสวยงาม 
     "บ้านเธอนี่อย่างกับวังเลยนะ"
     "ว่างๆฉันจะชวนเธอมาเที่ยวนะพิงค์และพี่วินด้วยนะค่ะ"
      "ครับน้องกัญว่างๆพี่กับพิงค์จะขับรถมาเที่ยวบ้านน้องกัญบ้างครับ"
      "พิงค์บ๊าย..บายเจอกันที่มหาลัยน่ะ พี่วินสวัสดีค่ะ"
      กัญญาลงจากรถพร้อมด้วยถุงมากมาย เธอทั้งสะพายถุงที่ไหล่บ้าง และเต็มบ้าง แล้วเดินไปกดกริ่งที่ประตูรั้ว จากนั้นคนใช้ก็ออกมารับของเหล่านั้น กัญญาหันมาโบยมือให้กับพรพิงค์ พรพิงค์เองก็โบยมือและส่งยิ้มให้กับกัญญาเช่นกัน ภัทรวินขับรถออกไปอย่างค่อยและหายหลบออกจากป้อมยาม กัญญาจ้องมองรถเก๋งคนสีเงินบอลล์ไม่ขาดตา ชายในฝันของเรา พี่ภัทรวิน หนูหวังว่าพี่กับหนูคงได้เป็นแฟนกันนะค่ะ กัญญาเปิดประตูรั้วแล้วยังเกาะที่ลูกกรงจ้องมองไปถึงรถจะแล่นหายไปจากถนนแล้วก็ตาม กามเทพมายิงศรรักทิ้งรอยรักไว้ที่ทรวงของกัญญาเสียแล้ว 

บ่อน้ำอันกว้างใหญ่ใสสะอาดจนแลเห็นพื้นเบื้องล่าง หมู่กอบัวพากันชูดอกไสว เบ่งบานรับพลังทิพย์จากพระเทพี ดอกบัวผันสีขาวบานสะพรั่ง เทพีไอซิสนั่งอยู่ริมสระโดยขาทั้งสองของพระนางแกว่งไกวไปมา เหล่าปลาตัวเล็กหลากสีสันว่ายไปมา เงาของพระนางสะท้อนลงบนคลื่นน้ำที่กระเทือนเพราะฝูงปลาแหวกว่ายไปมา กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวสีขาวที่งามแสนงามจนอดใจไม่ไหว พระเทพีทรงเด็ดดอกบัวมาขึ้นมาแล้วสูบดมที่ปลายจมูกอย่างถนุถนอม 
          "ชื่นใจเสียจริง"
          สายลมอันแรงถูกพัดผ่านมาจนอาภรณ์ของพระนางปลิวไหว นกสีขาวตัวหนึ่งบินลงมาเกาะยังเสาหินอ่อนสีขาว แล้วบินล่องลงมายังเบื้องล่างเดินบนขอบสระที่น้ำไหลปริ่มๆ เทพีไอซิสจ้องมองนกน้อยด้วยความเอ็นดู
       "น้องข้า เจ้าจงคืนร่างเดิมเถิด เทพีเนปทิส"
       ร่างของนกน้อยสีขาวค่อยๆเปลี่ยนไปขนของมันหลุดล่วงโรยราและแล้วร่างของหญิงสาวในชุดอียิปต์โบราณ มงกุฎรูปทรงประหลาดเมื่อมีถ้วยภาชนะวางอยู่บนศีรษะ และขนนกสีขาวอันแสดงได้ว่าพระเทพีทรงเป็นความอิสระเหมือนนกที่โบยบินบนแดนสรวง เทพีเนปทิสคือพระขนิษฐาแห่งเทพีไอซิส พระนางทรงเดินเข้ามาและนั่งลงใกล้พระเทพี เทพีทั้งสองสวมกอดกันด้วยความรักของพี่น้อง 
     "พระพี่นางของหม่อมฉัน เป็นอย่างไรบ้างเพคะ"
     "ข้ามิได้อันใดหรอกพระขนิษฐาแห่งข้า"
     "พระองค์ทรงมาประทับอย่างเหงาๆอยู่เพียงลำพัง แต่ใบหน้ากับยิ้มแย้มเหมือนจะมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น"
     "เนปทิส เมื่อเจ้ารู้เรื่องต่อไปนี้ เจ้าจงเหยียบมันให้จนมิดเลยนะ"
    "เรื่องอันใด พระพี่จนแถลงมาเถิด หม่อมฉันอยากที่จะทราบ"
     "ฟาโรห์องค์ปัจจุบัน ทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ยิ่งนัก พระบิดาแห่งฟาโรห์ คือ อดีตฟาโรห์ทรงสวรรคตอย่างปัจจุบันทางด่วนโดยมิมีใครล่วงรู้ว่า เป็นแผนการขององค์ราชินีที่วางยาพิษในพระกระยาหารวันละนิดวันละนิด เพราะด้วยความหลงในกิเลสและอำนาจของฝ่ายใน แบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายกันกอบโกยอำนาจเหมือนคนที่หิวกระหาย ข้าละกลัวเกรงว่าฟาโรห์หนุ่มจะต้องพบจุดจบเมื่อกับอดีตฟาโรห์ ในประวัติศาสตร์มิได้มีอดีตฟาโรห์อันเป็นบิดาเท่านั้นที่สวรรคตด้วยความโลภมากแห่งพระประยูรญาติ มีอดีตฟาโรห์อีกมากมายที่จบพระชนม์ชีพลงด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องการให้พระองค์ทรงอภิเษกจากสตรีที่มาจากชนชั้นล่างและไม่ใช่เชื้อพระวงศ์"
    "พระพี่นาง ท่านกล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง หม่อมฉันก็มิได้เห็นด้วย การอภิเษกสมรสกันในหมู่พี่น้อง แต่มันกลายเป็นกฎที่มิอาจจะฝืนได้ ก็อย่าไปทรงยุ่งกับมันเสียดีกว่า"
    "ข้าต้องยุ่ง เนปทิส ข้าเตรียมกาลไว้แล้ว"
    "แล้วสตรีนางนั้นเป็นใคร พระพี่นางที่พระองค์เห็นชอบ"
     "นางเป็นมนุษย์ในสมัยศตวรรษที่ยี่สิบ มีความงามที่สตรีชาวอียิปต์โบราณไม่มี ใบหน้าอันคมงาม ผิวกายสีน้ำผึ้งอันเลอค่า มีความเฉลียวฉลาดล่วงรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์อียิปต์ได้เป็นอย่างดีและลึกซึ้ง นางจะนำพาความเจริญอันรุ่งโรจน์มาสู่อียิปต์"
     "แต่หากองค์บรมบิดาทราบเข้า"
    "กาลนั้นมาถึงข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง องค์พระบรมบิดาก็ทรงพระชรามากแล้วไม่นานก็ใกล้กาลแห่งการดับของดวงตะวัน"
   "มันก็จริงเพคะ แต่หม่อมฉันกลัวเสียเหลือเกิน"
     เทพีไอซิสสวมกอดเทพีเนปทิสและลูบหลังอย่างบรรจงด้วยความเป็นห่วง
     "น้องข้า เจ้าจงอย่ากลัว เราฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมาด้วยกันตั้งแต่สมัยยุคของเทพนิยายครั้งที่เรายังดำรงอยู่บนพื้นโลกเบื้องล่าง เช็ตผู้ชั่วร้ายสังหารองค์ฟาโรห์โอซิริสอย่างเลือดเย็น แล้วยังแบ่งพระศพออกเป็นชิ้นๆ ทิ้งพระศพแห่งฟาโรห์ไปในที่ต่างๆ ที่ข้าและเจ้าสองพี่น้องยังอุตส่าห์ค้นหาชิ้นส่วนของพระศพจนเจอ เหตุการณ์นั้นข้าไม่รู้
เลืองจนถึงบัดนี้ น้องรักของข้า"
    "มันจะเป็นอย่างไรก็เอา หม่อมฉันของอยู่เคียงข้างพระพี่นางไอซิสเพคะ"
     เทพีเนปทีสทรงกรรแสงออกมา เทพีไอซิสค่อยเช็ดหยาดน้ำตาที่นองแก้มของเทพีเนปทีส 
    "ใบหน้าของเจ้าไม่ควรมีหยาดน้ำตานะน้องข้า"
    เทพีเนปทีสโอบกอดเทพีไอซิสจนแน่น ความรักของสองเทพีนั้นช่างมีมากมายเหลือคณานับเสียเหลือเกิน ทั้งสองพระองค์ทรงฝ่าฝืนอุปสรรคนานับประการมาด้วยกันตั้งแต่สมัยยุคของเทพนิยาย 
    ทางด้านโลกมนุษย์พรพิงค์กับภัทรวินขับรถมาถึงที่บ้านซึ่งอยู่ในซอยเล็กๆนอกชานเมือง บ้านหลายหลังยังเป็นบ้านไม้แบบเก่ายกใต้ถุนสูง บ้างบ้านเป็นสองชั้นหน้าต่างผิงแบบตะวันตก รถมาหยุดจอดยังบ้านหลังเล็กๆเป็นบ้านปูนสองชั้น พรพิงค์ลงจากรถไปเลื่อนประตูรั้ว รถพุ่งเข้าสู่โรงจอดรถ ผู้หญิงในชุดบ้านๆลายดอกใหญ่ๆแลดูสบายๆ เดินออกมาจากภายในบ้าน 
    "สวัสดีค่ะแม่"
    "สวัสดีครับ"
    "วันนี้แปลกจริง สองพี่น้องกลับบ้านมาพร้อมกัน"
    "คือผมไปเดินห้างเจอเจ้าพิงค์เอาเลยชวนกลับมาด้วยนะครับแม่"
    "ดีแล้ว รีบไปอาบน้ำเตรียมตัวกินข้าว วันนี้แม่ทำแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายของโปรดพิงค์ และ แกงส้มชะอมไข่ของโปรดวินด้วย รีบเลยจ๊ะ เตรียมจะหายร้อนเสียก่อน"
    สองพี่น้องเดินเข้าไปยังตัวบ้าน ส่วนผู้เป็นแม่เดินไปยังประตูรั้วเพื่อที่จะล็อกประตูรั้วหน้าบ้าน พอล็อกเสร็จแล้วก็เดินเข้าบ้านจากนั้นจึงล็อกประตูบ้าน เดินเปิดไฟตามบ้านในสวนย่อยหน้าบ้าน พรพิงค์เข้าห้องนอนของเธอ วางของที่ซื้อมาวางลงบนโต๊ะเขียนหนังสือของเธอ พรพิงค์จับหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาและกอดมันไว้ราวกับของมีค่า แล้วเธอจึงนำมันไปวางไว้บนเตียงเพื่อที่จะว่า พออาบน้ำทานข้าวเสร็จจะกลับมานั่งอ่านเล่น พรพิงค์ถอดชุดนักศึกษาใส่ยังตระกร้าผ้าพลาสติกหน้าห้องน้ำ พรพิงค์อาบน้ำชำระร่างกาย สระผมที่เหนียวมาทั้งวัน พออาบน้ำเสร็จก็สวมชุดนอนตัวโปรดเป็นลายแมวตัวสีชมพูทัดดอกไม้น่ารัก ออกมายังห้องทานข้าว พ่อและแม่ของพรพิงค์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว และต่อมาด้วยภัทรวิน ทั้งสี่พ่อแม่ลูกนั่งทานอาหารเย็นด้วยความอบอุ่น 
     "ที่มหาลัยวันนี้เป็นไงบ้างพิงค์"
     "ไม่มีอะไรค่ะพ่อ แต่วันนี้หนูกลับเจอเรื่องที่ประหลาดมากค่ะ"

     "ประหลาดหรือจ๊ะ เรื่องอะไรไหนเล่าให้แม่กับพ่อและพี่วินฟังหน่อย"
     พรพิงค์เล่าถึงความประหลาดที่น่าเหลือเชื่อเกี่ยวหญิงสาวที่เรียกตนเองว่า ไอซิส ที่ช่วยให้เธอหนังสือเล่มนั้นมาครอบครอง รวมไปถึงความบังเอิญมากที่สามารถซื้อหนังสือเล่มนี้ที่ราคาแพงแสนแพงมาได้ในราคาที่ถือว่าถูกพอควร 
    "ระวังนะลูก แม่ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นพวกหลอกลวง ไม่สิพ่อหมายถึง พวกที่ชอบเวทย์มนตร์ คุณไสยอะไรอย่างนั้น ยิ่งเข้ารู้จักชื่อลูกแล้วยิ่งไปกันใหญ่ เขาอาจจะเล่นของใส่ลูกเข้าน่ะ ลูก ยิ่งหากเป็นอย่างที่หนูว่าเขามาเปิดร้านขายของเก่าเกี่ยวกับอียิปต์ใกล้ๆบ้านเราแล้วด้วย ยิ่งน่าคิดเพราะของพวกนั้นมันเกี่ยวกับพลังเร้นลับและคำสาป น่ากลัวนะเนี่ย ระวังตัวไว้นะลูก พ่อกลัวแทนจริงๆ"
    "พ่อเองก็พูดเสียจนน่ากลัวสยองขนผองแล้ว พิงค์ลูกเองก็ระวังตัวไว้อย่างที่พ่อเขาเตือนเถิดน่ะ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้และหนังสือเล่มนั้น เขาอาจจะมีของมนตร์ดำอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ไปรับของมา"
    "ไม่หรอกค่ะ พี่สาวคนนั้นออกจะใจดี เธอสวยงามนะค่ะ แถมพี่สาวยังชอบสีผิวของหนูว่าเป็นผิวสีน้ำผึ้งที่สวยด้วยนะค่ะ พี่เขาแค่เป็นคนที่ชื่นชมในความเป็นอียิปต์เหมือนกับหนูเท่านั้นเองค่ะ"
   "แต่พี่ว่า ระวังตัวไว้ก็ดีนะน้องพิงค์ พี่เคยได้ยินมาว่าของเก่าแบบพวกนี้มันมักจะมีคำสาปมาด้วยเหมือนอย่างในหนังพวกผีมัมมี่ หรือไม่พวกคนที่ชอบสะสมของเก่าจำพวกแบบนี้ส่วนมากก็เป็นพวกเขาชอบเล่นของ เล่นคุณไสยเวท ระวังไว้บ้างก็ดีน่ะน้องพิงค์"
   "ค่ะ หนูจะระวังตัวค่ะ"
    พรพิงค์ไม่ตอบความคิดของเธอโจมตีกลับไป ทั้งๆที่ภายในใจของเธอเห็นและคิดเพียงแค่ว่าพี่สาวคนนั้นเป็นคนดีเป็นเสมือนนางฟ้าที่มาโปรดเธอทำให้เธอได้หนังสือเล่มนั้นที่เธอต้องการเท่านั้น เธอไม่คิดเลยว่าพี่สาวแสนสวยคนนั้นจะมาดีกับเธอเพราะต้องการหวังผลอะไรบางอย่างจากเธอ 
    พรพิงค์ทานอาหารเย็นแล้วก็ลุกเอาจานไปไว้ที่ล้างจานจัดแจงของตนเองเสร็จ หลังจากนั้นก็เข้าห้องของเธอ พรพิงค์นอนลงบนเตียงอันอ่อนนุ่ม แขนของเธอไปถูกเข้ากับหนังสือเล่มนั้นที่เธอวางไว้จนตกเตียง พรพิงค์ก้มลงหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาแล้วกอดมันไว้แน่น สูบหายใจเข้าลึกๆจนเต็มอกและค่อยๆผ่อนลมออกอย่างเบาๆเสมือนเป็นการตั้งสมาธิ และแล้วเธอพลิกหนังสือส่วนที่เป็นหน้าปกเข้าหาเธอ แล้วลงมือเปิดมันทีละหน้าทีหน้า จากคำนำสู่สารบัญ จากสารบัญสู่บทความที่เธอสนใจ เธออ่านมันด้วยความรวดเร็วไม่ถึงสองชั่วโมงครึ่งก็อ่านจวนจะหมดเล่ม คงด้วยความชอบส่วนตัวของเธอแววตามีแต่ความใคร่อยากรู้ในเนื้อหาของหนังสือจนความหลับและเหนื่อยอ่อนเข้ามาเยือน เธอห้าวจนปากกว้าง ดวงตาของเธอค่อยๆถึงปิดด้วยม่านเปลือกหนังตาที่จะชักลง 

     "กี่โมงแล้วเนี่ย"
      เธอหันไปมองยังนาฬิกาแขวนเหนือประตูห้อง 
      "สามทุ่มจะสี่ทุ่มแล้วเหรอเนี่ย อ่านเพลินเลยทีเดียว นอนก่อนดีกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นไปมหาลัยและอีกวันถัดไปก็วันอะไรน่ะ...."
     พรพิงค์ยิ้มเมื่อดูปฎิทิน ใช่วันเสาร์ที่จะถึงนี้ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของเธอแล้ว พรพิงค์ยิ้มด้วยความดีใจอีกไม่นานเธอก็จะย่างก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่เข้าไปอีกปีหนึ่ง 
      "เราจะยี่สิบแล้ว ดีใจจังเป็นผู้ใหญ่เสียทีเรา"
     พรพิงค์ลุกเอาหนังสือมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปปิดไฟ จากนั้นก็เข้านอนด้วยความสุขชื่นรื่น 
     ทางด้านของสรวงสวรรค์แห่งไอยคุปต์ ยังวิหารสระน้ำทิพย์กลางท้องฟ้า ภาพของพรพิงค์ปรากฏในสระน้ำซึ่งเทพีไอซิสกับเทพีเนปทิสกำลังดูความเป็นไปของพรพิงค์
      "พระพี่นาง เธอคนนั้นช่างน่ารักเสียเหลือเกิน น่าเอ็นดู แม่สาวน้อยกำลังจะเป็นผู้ใหญ่ มันช่างเป็นความสุขของลูกผู้หญิงเมื่อเราทราบว่าเรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่"
     "วันเสาร์ที่จะถึงนี้เป็นวันเกิดของนาง ข้าต้องปรึกษาเทพท็อตเสียแล้วว่าเราจะส่งนางไปยังโลกแห่งอียิปต์โบราณได้เช่นไร เนปทิสไปกับข้าที"
     "เพคะ"
     เทพีไอซิสชูมือขึ้น ปรากฏเรือหัวนกอินทรีย์เหาะมารับอยู่เบื้องหน้า ทั้งสองเทพีขึ้นประทับบนเรือเหาะมุ่งไปยังวิหารแห่งแสงจันทร์ของเทพท็อต เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ 
    "เราจำเป็นต้องเลือกวันเวลาในช่วงวันเกิดของนาง ถึงจะสมควรนะไอซิส"
    "พระองค์ว่าหม่อมฉันควรจะทำอย่างไร ลักพาตัวนางมาหรือ...."
    "จงอย่าทำเช่นนั้นไอซิส เราเป็นเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์มิใช่ภูตผีปีศาจหรืออสุรกาย ทำเช่นนั้นมันไม่เหมาะสม"
    "เช่นนั้นควรกระทำเช่นไรเพคะ เทพท็อต"
     "ข้าเห็นว่าเราควรใช้วัตถุซึ่งเป็นของๆที่สามารถอัดบรรจุพลังแห่งจักรวาล พลังแห่งกาลเวลา สิ่งนั้นมันอาจจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจของตัวนางเอง เช่น ของที่วิเศษที่สุดสำหรับนางในขณะนั้น ซึ่งไอซิสเจ้าต้องใช้อำนาจแห่งเทพที่ดลบันดาลพลังแห่งการย้อนเวลาให้ส่งนางไปยังยุคอียิปต์โบราณตามที่เจ้าต้องการ"
   "แต่ว่าพระพี่นาง การที่เราใช้พลังแห่งเทพเจ้า องค์พระบรมบิดา เทพราห์ อาจจะล่วงรู้ได้นะเพคะ"
    "มันก็น่าคิดอยู่ตามอย่างที่เนปทิสกล่าว เพราะพระองค์เป็นผู้มีพลังอำนาจเหนือขอบเขตแห่งเทพยดาทั้งมวล พระองค์ล่วงรู้อย่างแน่นอน หากพระองค์ล่วงรู้พระองค์ต้องมาทำร้ายแผนการของเราเป็นแน่"

   "พระองค์ทรงจะเมตตาช่วยเหลือมิให้เทพราห์ล่วงรู้ได้หรือไม่เพคะ"
   "มันก็พอจะมีทางให้พระองค์บ่ายเบี่ยงจากความสนใจในการสัมผัสได้ถึงพลังเทพ"
   "และพระองค์มีแผนการอย่างไรบ้างเพคะแจ้งให้หม่อมฉันทราบบ้าง"
   "ในวันเสาร์อันเป็นวันเกิดของนาง ข้าจะเดินทางไปยังวิหารแห่งแสงตะวัน ก่อนที่จะไปข้าจะชวนเทพคอนชู เทพแห่งการพนันไปด้วยเพื่อชวนพระองค์เทพราห์เล่นหมากรุกและเล่นการพนันต่างๆเพื่อเป็นการบ่ายเบี่ยงความสนใจของพระองค์ เมื่อพระองค์จดจ่อกับการเล่นพนันเสีย พระองค์เทพราห์ก็จะมิสนใจอะไรอื่น"
   "สมแล้วที่ท่านเป็นเทพแห่งสติปัญญาเพคะพระองค์"
    "เช่นนั้นในวันเกิดของนาง หม่อมฉันจะมอบสิ่งของสิ่งหนึ่งแก่นาง โดยสิ่งของนั้นจะเป็นสื่อที่จะพานางไปยังอาณาจักรอียิปต์โบราณ"
    "พระพี่นางวันนั้นของหม่อมฉันไปด้วยนะเพคะ หม่อมฉันชอบนาง อยากที่จะชมความงามของนางใกล้ๆ"
   "ไม่ได้หรอกเนปทิส เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก หากภารกิจนี้สำเร็จเจ้าก็ต้องได่เจอนางเป็นแน่จ๊ะ  เช่นนั้นหม่อมฉันขอลาเพคะ"
    "ข้าขอให้แผนการของเจ้าจงสำเร็จ"
     เทพีไอซิสและเทพีเนปทิสก้มศีรษะเป็นการแสดงความเคารพ ความเงียบกับมาครอบงำวิหารแสงจันทร์อีกครั้ง เทพท็อต เทพแห่งดวงจันทร์ ทรงถอดหายใจอย่างแรก ภาพในอดีตภายในดวงเนตรแห่งพระองค์ที่เบิกกว้าง เบื้องล่างของม่านแห่งความเศร้าเริ่มเลื่อนออกภาพในความทรงจำปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง 
       ครั้งสมัยยุคเทพนิยาย ที่เหล่าเทพเจ้าอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติ ไม่มีการแบ่งแยก ในตอนนั้นเทพราห์ สุริยเทพทรงจำแลงร่างเทพของพระองค์กลายเป็นร่างของมนุษย์และด้วยความที่ใช้ร่างที่เป็นมนุษย์จึงทำให้พระองค์เข้าถึงมนุษย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยความดีงามที่พระองค์ทรงช่วยเหลือ ทำให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายยกย่องพระองค์ขึ้นเป็น ฟาโรห์ พระองค์ถูกยกย่องด้วยข้าวของอันมีค่าที่มนุษย์นำมาถวายเท่าที่จะหาได้ เมื่อเทพราห์ขึ้นเป็นฟาโรห์ทรงปกครองอาณาจักรของพระองค์เป็นอย่างดี พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเทพีแร็ต เทพแห่งเวทมนตร์ จากนั้นพระองค์ทรงมีพระโอรสกับพระธิดาด้วยกัน คือ เจ้าชายชู กับ เจ้าหญิงเทฟนัท ซึ่งต่อมาพระองค์ทั้งสองทรงอภิเษกสมรสกันและให้กำเนิดพระโอรสกับพระธิดาคือ เจ้าชายเก๊บ กับ เจ้าหญิงนัท เมื่อเจ้าชายเก๊บและเจ้าหญิงนัททรงเจริญพระชันษาเป็นบุรุษและสตรีที่รูปงามสมดั่งที่มีเชื้อสายแห่งเทพเจ้า ในช่วงตอนนั้นเองเทพท็อตทรงเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อมาเยี่ยมฟาโรห์ราห์ 
       ยังพระราชวัง ขณะที่เทพราห์ในร่างมนุษย์กำลังเล่นหมากตารางกับพระราชินีเช็ต หรือก็คือเทพีเซ็ตนั้นเอง 
      "เจ้าจมมุมแล้วราชินีของข้า"
      "หม่อมฉันจะไม่เล่นกับพระองค์อีกแล้ว เล่นทีไรแพ้ทุกตา"
      "ฮา...ฮา...ฮา..."
     "ข้าแต่พระองค์ เทพท็อตพระอนุชาแห่งพระองค์ทรงเสด็จมาพระเจ้าค่ะ"
    "ดีจริงๆ เชิญน้องข้าเข้ามา"
    เทพท็อตในร่างของเทพเจ้าที่มีหัวเป็นนกกระสา เดินย่างเข้ามาภายในที่ประทับของฟาโรห์ เทพท็อตเดินมายังใกล้ที่ประทับของฟาโรห์ แล้วก้มศีรษะทำความเคารพ
   "น้องข้า เช่นไรวันนี้จึงมาหาพี่"
   "ข้าแต่เสด็จพี่ หม่อมฉันคิดถึงพระองค์มาก จึงอยากจะลงมาเยี่ยมเยือนพระองค์ "
   "นั้นเจ้านั่งลงก่อน"
    ขณะที่เทพท็อตกำลังนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนที่ยาวเป็นแท่น นางกำนัลที่เป็นมนุษย์เข้าถวายพัดแด่พระองค์ด้วยพัดขนนกยูง นางกำนัลอีกนางนำกระเช้าผลไม้อันมีองุ่น อินทผาลัม มาถวายขณะที่เทพท็อตกำลังจะเด็ดผลองุ่นเสวย สายตาบังเอิญมองไปเห็นเจ้าหญิงนัทซึ่งกำลังเล่นอยู่กับเหล่านางกำนัลสาวแรกรุ่น เทพท็อตด้วยมีความสามารถหยั่งรู้อนาคต ภาพนิมิตบังเกิดขึ้นในดวงตา ภาพของบุรุษรูปงามขึ้นก้าวบนบัลลังก์แห่งฟาโรห์พร้อมด้วยสตรีที่งดงามและทรงเสน่ห์เป็นราชินี และภาพของเทพราห์ที่ถูกนางพญางูแห่งความชั่วร้ายกลืนกิน 
    "ไม่นะ...ไม่"
    "น้องข้าเป็นอันใด"
    "นางผู้นั้นคือใคร"
    "นั้นนางคือพระนัดดาแห่งเราเองเพคะท่านพระอนุชา"
    "เสด็จพี่หม่อมฉันเห็น...!"
    "เจ้าเห็นนิมิตนั้นหรือ"
    "ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
     "ไหนน้องข้า เจ้าจงบอกภาพนิมิตของเจ้ามาเดี๋ยวนี้ว่าภาพนิมิตที่เจ้าเห็นมันร้ายแรงเพียงใดแลพเกี่ยวข้องอะไรกับหลานข้า"
    "ในอนาคตพระนัดดาของเสด็จพี่จะทรงให้กำเนิดพระโอรสผู้ทรงเกรียงไกร และบัลลังก์ฟาโรห์แห่งพระองค์ก็จะกลายเป็นของเขา และพระองค์จะต้องสิ้นด้วยนางพญางูเห่าแห่งความชั่วร้าย พระองค์ข้ากลัวจริงๆเลยพระองค์"

   "ไม่นะข้าจะถูกเหลนของข้ากบฎนั้นหรือ"
   "พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่"
   "และเราจะมีทางแก้ไขประการใดที่จะขัดขว้างมิใช่เหลนชายของข้ามากบฎและยึดบัลลังก์ของข้า"
   "องค์ฟาโรห์ใจเย็นๆนะเพคะ"
   "มีอยู่ทางเดียวพ่ะย่ะค่ะ"
   "ท่านพระอนุชาท่านจงแจ้งมาเถิดว่าเราควรทำอย่างไรเพื่อปกป้องบัลลังก์แห่งฟาโรห์"
   "เราต้องมิใช่พระนัดดาทรงมีพระโอรสและพระธิดาพ่ะย่ะค่ะ โดยที่พระองค์ต้องสาปพระนัดดาของพระองค์ว่าจงอย่าให้กำเนิดบุตรคนใดแม้แต่ยามทิวาและราตรีกาล เช่นนี้แล้วพระนัดดาก็มิมีทางที่จะให้กำเนิดพระโอรสและพระธิดา"
    แผนการของเทพท็อตนั้นทำให้เทพราห์กลายเป็นพระอัยกาผู้เลวร้าย พระองค์ทรงสาปเจ้าหญิงนัทมิใช่มีวันใดที่เจ้าหญิงจะให้กำเนิดพระโอรสและพระธิดา ด้วยความรักเจ้าชายเก๊บทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงนัท ถึงจะทรงทราบดีว่าเจ้าหญิงจะทรงไม่สามารถที่จะมีพระโอรสและพระธิดาให้แก่เจ้าชายเก๊บก็ตาม เวลาพาล่วงเลยไปเจ้าหญิงนัททรงอยู่ในความเศร้าซึม ด้วยใจที่บอดช้ำนางสมควรที่จะเป็นแม่ได้แล้ว แต่นางมิสามารถจะให้กำเนิดบุตรได้ด้วยคำสาปของเทพราห์ผู้เป็นพระอัยกา เจ้าหญิงเมื่อทรงเห็นเด็กน้อยวิ่งผ่านพระตำหนัก พระนางจะทรงกรรแสงด้วยว่าเสียอกเสียใจ พระนางอยากจะมีบุตรน้อยๆไว้เลี้ยงและอุ้มชู เรื่องราวของเจ้าหญิงนัทก็ลือไปทั่วอาณาจักรแล้วไปยังสรวงสวรรค์ เทพท็อตทรงรับรู้ว่าเจ้าหญิงนัททรงเป็นเช่นนี้เพราะพระองค์ พระองค์จึงทรงรู้สึกผิดต่อเจ้าหญิงนัท 
    "หลานข้าช่างน่าสงสาร แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อลูกของเจ้าจะเป็นภัยต่าองค์เทพราห์"
    และแล้วด้วยความสงสารที่มีอยู่เต็มอก พระองค์จึงทรงคิดที่จะเข้าช่วยเจ้าหญิงนัท พระองค์ทรงแอบเสด็จมาอย่างลับยังตำหนักของเจ้าชายเก๊บกับเจ้าหญิงนัท จากนั้นพระองค์ทรงแจ้งแผนที่พระองค์วางไว้ที่จะให้เจ้าหญิงสามารถให้กำเนิดพระบุตรได้ เจ้าชายกับเจ้าหญิงทรงเข้าใจแผนการแล้ว เทพท็อตก็ทรงเสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปดำเนินการแผนต่อไป เทพท็อตทรงเสด็จไปยังวิหารแห่งเทพคอนชู ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงจันทร์ในตอนนั้น 
   "ตายจริงท่านเทพท็อตทรงเสด็จมายังวิหารของเรา ท่านคงมีธุระ"
   "ไม่มีอะไรมากหรอก จันทรเทพคอนชู ข้าอยู่ๆก็เกิดรู้สึกว่าเหงาเลยอยากจะมาชวนท่านเล่นหมากตารางเป็นเพื่อนที่เสียหน่อย "

   "ก็ดีเลยท่าน ข้านี้กำลังเบื่อหน่ายอยู่พอดีเลย"
   เทพท็อตเนรมิตตารางพร้อมด้วยหมากขึ้นมา 
   "เราจะเริ่มกันเลยไหมท่าน"
    "เอาซิ ข้าให้ท่านเทพคอนชูเดินก่อน"
    การเดินตารางของเทพเจ้าทั้งก็เริ่มขึ้น ทั้งสองพระองค์ทรงเดินหมากไปเรื่อยๆเข้าหลายตา เล่นกันไปเล่นกันมาด้วยรัสมีแห่งดวงจันทร์จากกายของเทพคอนชูจึงแผ่รัศมีดวงเต็มอยู่เป็นเวลาห้าวันห้าคืนซึ่งกลายว่าเป็นวันเพ็ญอยู่ห้าวันเต็ม ในขณะนั้นเองเจ้าหญิงนัทจึงให้ประสูติพระโอรสและพระธิดาทั้งหมดห้าพระองค์ ได้แก่ เจ้าชายโอซิริส เจ้าชายฮาร์มาซิส เจ้าชายเซ็ต เจ้าหญิงไอซิสและเจ้าหญิงเนปทิส และแล้วห้าวันของการเดินตารางหมากก็ยุติลงเมื่อฝ่ายเทพคอนชูเป็นผู้แพ้ 
   "ข้าแพ้เสียแล้ว หมากตารางนี้จึงเป็นการว่ายุติ"
   "นั้นสิ ข้ากำลังเพลินอยู่เลย อย่างไรข้าก็ข้ากลับก่อน"
    เทพท็อตลาเทพคอนชู แล้วทรงเสด็จจากสรวงสวรรค์ลงมายังตำหนักแห่งเจ้าชายเก๊บกับเจ้าหญิงนัท 
    "ช่างน่ายินดีเสียจริงๆ ข้ามีเหลนตั้งห้าคนน่ารักน่าชัง ข้าขอชมเหลนชายคนโตเสียหน่อย"
   เจ้าหญิงนัททรงอุ้มเจ้าชายโอซิสริสมอบให้แก่เทพท็อต
    "เจ้าเหลนชายในภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นฟาโรห์สืบต่อจากเทพราห์ผู้เป็นปู่ของเจ้า"
   ใบหน้าของทารกน้อยยิ้มแย้มเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เทพท็อตกล่าว เทพท็อตประคองเจ้าชายโอซิริสน้อยส่งคืนแก่เจ้าหญิงนัท เทพท็อตมองไปยังเด็กทารกหญิงน้อยที่มีใบหน้างามเสียเหลือเกิน พระองค์กำลังเดินเข้าไปหายังแปลของเจ้าหญิงน้อยไอซิส ภาพนิมิตบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ภาพของเทพีผู้งดงามภายใต่อาภรณ์แห่งราชินีเรืองฤทธิ์เวทมนตร์คาถา และภาพของเทพราห์ในร่างมนุษย์ที่ชราทรงประทับบนเรือเหาะสวรรค์สีทอง พร้อมด้วยเทพบริวารทั้งหลายกำลังเหาะข้ามขอบฟ้าและแล้วเทพีนางนี้แผลงศรที่เป็นงูเห่าพุ่งเข้ากลืนกินขบวนเรือแห่งสุริยเทพ 
   "อนิจจังเสียแล้วเหลนหญิงข้า เจ้าจะได้เป็นราชินีแห่งอียิปต์เคียงข้างพี่ชายของเจ้า"
    พระองค์ทรงลูบใบหน้าของเจ้าหญิงน้อยด้วยความเอ็นดู ขณะนั้นเองเทพราห์ทรงทราบถึงการกำเนิดของพระโอรสพระธิดาแห่งเจ้าหญิงนัทจึงทรงเสด็จมาด้วยความพิโรธหวังจะมาทำลายให้สิ้นแต่แล้ว 
    "เสด็จพี่ทรงเสด็จมาเยี่ยมพระนัดดาน้อยๆหรือพ่ะย่ะค่ะ"
     เทพราห์ทรงเงียบไม่พูดอันใด พระองค์ทรงเดินไปยังเปลทั้งห้าซึ่งมีเด็กน้อยนอนหลับอยู่ เทพราห์ทรงสัมผัสต้องที่กายของทารกชายคนแรก

    "เด็กคนนี้ใช่ไหมที่เจ้าบอกกับข้าว่าเขาจะได้เป็นฟาโรห์ต่อจากข้า"
    "ถูกแล้วเสด็จพี่"
    "เขาช่างน่ารักน่าเอ็นดูและบริสุทธิ์ ถึงเขาอยากที่จะได้บัลลังก์ข้า ข้าก็จะให้เข้า พอวันนั้นมาถึงข้าพร้อมด้วยราชินีและบริวารจะเดินทางกลับแดนสวรรค์"
   "ช่างเป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่งแล้วพระองค์"
   เทพราห์ยิ้มแย้มด้วยความยินดี เจ้าชายน้อยโอซิริสกลายเป็นเหลนคนโปรดปรานแต่นั้นมา พระองค์ทรงหวังที่จะให้เข้าได้เป็นฟาโรห์ต่อจากพระองค์ และแล้วกาลเวลาล่วงเลยไปจนเทพราห์แก่ชราภาพลง เจ้าหญิงไอซิสทรงเจริญวัยเป็นเจ้าหญิงผู้งดงามโปรดในการศึกษาไสยเวทย์ คาถาและอาคม เจ้าหญิงไอซิสทรงรักเจ้าชายโอซิริสผู้เป็นพระเชษฐา 
     วันหนึ่งขณะที่เจ้าหญิงไอซิสทรงเดินผ่านท้องพระโรง ตอนนั้นเองฟาโรห์ราห์ผู้ชราภาพกำลังสนทนาอยู่กับเหล่าขุนนางผู้รับใช้ ฟาโรห์ทรงไออย่างรุนแรง
    "ฟาโรห์เฒ่า จะทนต่อไปได้สักกี่น้ำกันเชียว มือของท่านต้องด้วยเลือดของประชาชน ท่านทรงประหัตประหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ล้มตายด้วยความไม่ยุติธรรม  ด้วยเหตุนี้ท่านน่าจะสมควรลงจากตำแหน่งนี้และยกตำแหน่งนี้แก่ท่านพี่โอซิริสของข้าถึงจะถูก"
   เจ้าหญิงไอซิสทรงมีแผนการที่จะให้เจ้าชายโอซิริสขึ้นเป็นฟาโรห์ ขณะนั้นเองฟาโรห์ผู้ชราภาพทรงสนทนากับเจ้าชายชูกับเจ้าหญิงเทฟนัทผู้เป็นพระโอรส-ธิดา เจ้าชายเก๊บและเจ้าหญิงนัทผู้เป็นพระนัดดามาร่วมตัวกัน 
    "พระองค์ทรงเรียกลูกและลูกของลูกมาด้วยเหตุประการใด"
    "บุตรแห่งข้าและหลานแห่งข้า ข้าเองอย่างจะบอกอะไรกับพวกเจ้า"
    "เชิญพระบิดากล่าวเล่ามาเถิดเพคะ หม่อมฉันและลูกๆพร้อมที่จะรับฟังเพคะ"
    "ครั้งสมัยยุคทองของไอยคุปต์ เทพเจ้าและมนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และข้าก็ขึ้นเป็นฟาโรห์ ระยะหลังต่อมาด้วยความชราของข้าที่ไม่สู้ดีนักจึงก่อการกบฎไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้าอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องทำร้ายพวกเขาซึ่งเป็นประชาชนของข้า พวกเจ้าจำเหตุการณ์นั้นได้ไหมเหตุการณ์ที่น่าสยดสยอง"
   "เสด็จปู่อย่าทรงคิดมากเลยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องมันแล้วไปแล้วและตอนนี้เหตุการณ์ก็กลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว"
   "แต่จิตใจของข้ากลับไม่สงบสุข เพราะความที่ข้าหวงในบัลลังก์จึงทำให้ประชาชนของข้าต้องตาย ข้าไม่น่าทำอย่างนั้นเลย ข้าไม่น่าให้ฮาเธอร์ นางโหดเหี้ยมไว้กัดกินประชาชนของข้า พวกเขาต่างร้องไห้ด้วยความกลัว เลือดของพวกเขานองไปทั่วพื้นทรายและหนองน้ำ นางหิวกระหายในรสคาวของเลือด นางดื่มและกินมันไม่ต่างจากน้ำองุ่นแดงที่บีบจากพวง และฉีกกินเนื้อหนังดั่งฉีกก้อนขนมปังอันนุ่มนิ่ม ข้าเสียใจจริงๆ"

   "พระบิดาไม่มีใครว่าพระองค์ เพราะเป็นความคิดจากเทวสภาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
   "เรื่องมันเกิดเพราะข้า ข้าแก่ชรามากจนตายเสียเมื่อไรก็ไม่รู้ ข้าเห็นสมควรแล้วที่ข้าจะต้องยกตำแหน่งฟาโรห์นี้ให้แก่เขาผู้นั้นตามที่เคยกล่าววาจาไว้ ข้าจะยกตำแหน่งนี้ให้แก่โอซิริส เหลนชายคนแรกของข้า"
    องค์ฟาโรห์ทรงประกาศอย่างลับๆให้ล่วงรู้แค่ในบรรดาลูกหลานของพระองค์ เจ้าหญิงไอซิสมิได้ทราบถึงการที่องค์ฟาโรห์จะยกตำแหน่งฟาโรห์ให้แก่เจ้าชายโอซิริส เจ้าหญิงทรงนั่งร่ายเวทย์มนต์เสกดินเหนี่ยวมาปั้นเป็นแท่นยาวๆราบไปตามพื้น แล้วเสกให้มันมีชีวิต ดินปั้นนั้นก็สามารถเลื้อยไปมาได้ มันคือ งูเห่าแห่งความชั่วร้ายที่เทพีไอซิสเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา 
    "ข้าจะสังหารพระองค์เสีย ท่านพี่โอซิริสจะได้ขึ้นเป็นฟาโรห์"
    แววตาของเจ้าหญิงส่องประกายแววแห่งความเลวร้ายออกมา คงด้วยเพราะความรักที่เจ้าหญิงมาต่อเจ้าชายโอซิริสนั้นเอง ในนานนักราชสำนักและทวยเทพได้ร่วมกันสร้างเรือเหาะทองคำขึ้นมาซึ่งมีขนาดใหญ่ขว้างซึ่งบรรจุคนได้จำนวนมากๆ เรือเหาะลำนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้องค์ฟาโรห์ประทับ ซึ่งการเดินทางของพระองค์โดยเรือเหาะทองคำลำนี้นั้นเป็นการส่งเสด็จพระองค์กลับสู่สรวงสวรรค์ พอเรือเหาะทองคำถูกสร้างเสร็จ ฟาโรห์ผู้ชราและสุขภาพไม่แข็งแรงทรงประทับในมณฑปทองคำ พร้อมด้วยเทพบริวารที่เคยดูอาการ ฝีพายยืนประจำตำแหน่งพอจัดขบวนเสร็จ เรือเหาะทองคำก็ค่อยๆลอยขึ้นและเลื่อนไปตามก้อนเมฆบนท้องฟ้า เจ้าหญิงไอซิสทรงเห็นเรือเหาะทองคำก็คิดว่าสมควรที่ทำตามแผนที่พระองค์วางเอาไว้ เจ้าหญิงทรงจับงูเห่านั้นออกมาจากถุงย่าม แล้วปล่อยให้มันเลื้อยไปตามพื้นทราย เจ้าหญิงร่ายเวทย์มนตร์เนรมิตให้มันกลายเป็นงูเห่ายักษ์ใหญ่  งูนั้นก็เลื้อยเหาะไปบนท้องฟ้า ท้องฟ้าจากที่สว่างกลับมืดมิดมันเลื้อยตามขบวนเรือเหาะขององค์ฟาโรห์และกลืนกินเรือนั้นพร้อมองค์ฟาโรห์เข้าไป แสงตะวันเรืองหายวับไปจากฟากฟ้าความมืดมิดเข้ามาแทนที่ จนเกิดเรื่องวุ่นวาย เหล่าทวยเทพทราบถึงการที่เทพราห์ถูกงูเห่าใหญ่กินก็ไม่มีจิตใจที่จะดำรงอยู่บนโลก เหล่าเทพยดาพากันกลับสู่สรวงสวรรค์อันเป็นที่ๆจากมา เจ้าหญิงไอซิสรู้สึกว่าการกระทำของพระองค์นั้นกลับผิดและกลายเป็นผลร้าย องค์ฟาโรห์คือสุริยเทพ ความดีงาม ความอุดมสมบูรณ์ เมื่อไร้ซึ่งแสงอาทิตย์พืชพันธุ์ธัญหารในอียิปต์จึงล้มตายเพราะขาดแสงแดด ภูตผีปีศาจก็ก่อกวนประชาชนจนได้รับความเดือดร้อน เจ้าหญิงไอซิสทรงแผลงศรของพระองค์เพื่อที่จะสังหารงูยักษ์ เพื่องูยักษ์นั้นต้องศรจนขาดครึ่งตัว ขบวนเรือเหาะนั้นก็ลอยออกมาจากตัวงู ดวงอาทิตย์เจิดจรัสอีกครั้ง เทพราห์ในร่างมนุษย์ที่ชราได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างเทพเจ้าที่มีศีรษะเป็นนกเหวี่ยงแล้วเรือเหาะนั้นก็มุ่งหน้าสู่สรวงสวรรค์ เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เมื่อเทพราห์เสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์แล้วตำแหน่งฟาโรห์จึงวางเปล่า เทพท็อตทรงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ตามเทวบัญชาแห่งเทพราห์ให้พระองค์เป็นผู้แทนมามอบตำแหน่งฟาโรห์แก่เจ้าชายโอซิริส จากนั้นเจ้าชายโอซิริสจึงขึ้นดำรงราชสมบัติเป็นฟาโรห์พระองค์ใหม่ และเจ้าหญิงไอซิสเป็นราชินี 
      ภาพความทรงจำเหล่านี้ด้วยเทพท็อตระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาพระองค์ถึงกับกล่าวออกมาว่า 
   "เทพราห์ผู้เป็นพระอัยกา กับ เทพีไอซิสผู้เป็นพระนัดดาไม่ได้กินเส้นกันมานานนับแต่สมัยเทพนิยาย แต่ก็น่าสงสารเทพีไอซิสด้วยเหตุที่พระอัยกาคิดจะไม่เอานางไว้ ความแค้นนี้จึงซึมซับอยู่ในตัวตั้งแต่ยังเล็ก ความแค้นที่พระองค์มิให้เจ้าหญิงนัทมีพระโอรส-ธิดา ข้าเองก็เป็นเหตุ  ข้าจึงจำต้องทำทุกสิ่งที่นางขอเพื่อเป็นการชดเชยแก่นาง"
    เทพท็อตนับตั้งแต่สมัยเทพนิยายทรงเข้าช่วยเหลือเทพีไอซิสมานักต่อนักแล้ว อย่างเหตุการณ์ที่พระเทพีทรงตามหาพระศพของฟาโรห์โอซิริสซึ่งถูกพระอนุชาคือ เทพเช็ตหันเป็นชิ้นส่วนและนำไปทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ พระองค์ก็ทรงช่วยจนถึงแนะนำการนำชิ้นส่วนของพระศพมาต่อกันโดยการทำมัมมี่ฟาโรห์โอซิริสเพื่อให้มีชีวิตอันเป็นอมตะนิรันดร์ หรือ ตามอารักขาปกป้องเจ้าชายฮอรัสพระโอรสแห่งฟาโรห์โอซิริสและเทพีไอซิสจากน้ำมืออันชั่วร้ายแห่งเทพเซ็ตที่หวังจะสังหารเจ้าชายฮอรัสด้วยเรื่องของการแย่งชิงบัลลังก์ฟาโรห์ พระองค์ทรงเหนื่อยและหน่ายด้วยกรรมและเวรอันผูกพันและติดไว้จนคลายไม่ออกพระองค์จึงจำต้องช่วยเหลือเทพีไอซิสในทุกกรณีนั้นเอง สายลมพัดผ่านผ้าม่านปลิวไสว เทพท็อตทรงนั่งงบอยู่กับกองเอกสารของพระองค์ต่อไป 

 ในที่สุดวันที่พรพิงค์รอคอยก็มาถึงจนได้ พรพิงค์ยิ้มให้กับปฏิทินแขวนซึ่งถูกแขวนไว้ที่ประตูห้องของเธอ เธอบรรจงใช้ปากกาหมึกเมจิสีแดงกากลงบนวันที่ตัวเลขสิบแปดเป็นเลขที่เธอรู้สึกว่าชอบที่สุดในเดือนนี้เพราะเป็นวันเกิดของเธอเอง พรพิงค์กากเสร็จก็นำปากกาเก็บในกล่องเครื่องเขียนบนโต๊ะอ่านหนังสือของเธอ พรพิงค์เปิดตู้เสื้อผ้าออกดูเธอหยิบชุดมาหลายชุดเลือกแล้วเลือกอีก และในที่สุดเธอก็เลือกชุดกระโปรงยาวถึงเข่าสีเขียวอ่อน พร้อมด้วยรองเท้าพลาสติกแฟชั่นราคาถูกคู่ละไม่เกิน 199 บาท ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามตลาดนัดทั่วไป  พรพิงค์อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดที่เธอเลือกและออกไปหาแม่ยังห้องครัว ซึ่งกำลังเตรียมข้าวของใส่บาตร
  "พิงค์จ๊ะ เตรียมไปใส่กัน"
  "ค่ะแม่"
   แม่ค่อยๆถือถาดซึ่งมีช่อดอกไม้กำและอาหารที่บรรจุถุงพลากสติกมัดถูกริบบิ้นอย่างดี ขันใส่ขาวทองเหลืองพร้อมทัพพี พรพิงค์ถือโต๊ะพับเหล็กอันเล็กๆตามแม่ไปยังหน้าบ้าน พรพิงค์เปิดประตูรั้วและทำการตั้งโต๊ะ แม่วางถาดของใส่บาตร

   "พิงค์จ๊ะ จบของใส่บาตรเสียจ๊ะ"
   พรพิงค์พนมมือและก้มไหว้ไปยังถาด พรพิงค์อธิษฐานในสิ่งที่เธอปรารถนา ขอให้หนูพบคนที่หนูรัก และให้คนเป็นคนดี และขอให้หนูมีความสุขที่สุด ให้หนูได้ไปอียิปต์สมดั่งใจที่ปรารถนาด้วยเถิดสาธุ นั้นเองพระสงฆ์รูปหนึ่งก็เดินมาบิณฑบาตรพร้อมกับเด็กวัดหนึ่งคน 
   "หลวงพ่อนิมนต์ค่ะ"
    หลวงพ่อยืนรับบาตรที่พรพิงค์ใส่ ทุกครั้งที่พรพิงค์ค่อยๆตักข้าวอย่างบรรจง หยิบกับข้าว แลดอกไม้กำวางลงบนฝาบาตร พระท่านให้พรเป็นภาษาบาลี แล้วเดินจากไปพรพิงค์ช่วยแม่เก็บโต๊ะพับและถาดเข้าบ้าน ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะม้าหินข้างบ้านซึ่งมีที่กรวดน้ำทองเหลืองวางอยู่ แม่ของพรพิงค์กรวดน้ำแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปยังบรรพบุรุษที่ล่วงรับไปแล้ว เจ้ากรรมนายเวร และภูตผีปีศาจให้ได้รับผลบุญ พรพิงค์เอามือวางไว้บนน่องขาของแม่และวางตามคำที่แม่ของเธอกล่าวอุทิศ 
    "พิงค์จ๊ะ ช่วยนำน้ำนี้ไว้เทใต้โคนต้นมะม่วงทีนะจ๊ะ"
     "ค่ะแม่"
     พรพิงค์ค่อยๆเทน้ำรดลงบนรากต้นมะม่วงซึ่งเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณบ้าน ด้วยเชื่อว่าต้นไม้ใหญ่มีเทพยดาสถิต พระองค์จะได้เป็นพยานในการทำบุญนั้นเอง พรพิงค์เทน้ำเสร็จแล้วก็เดินตามแม่ขึ้นไปในบนบ้าน พรพิงค์ประหลาดใจเมื่อเพราะเธอเจอซองจดหมายสีขาวพร้อมเขียนถึงเธอถูกวางไว้บนโต๊ะทานข้าว เธอหยิกมันขึ้นมาบนหน้าซองเขียนว่า สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะลูกพิงค์ วันนี้พ่อมีธุระต้องไปสัมนาที่ต่างจังหวัดที่ชลบุรีจึงต้องเดินทางออกแต่เช้าไม่ทันได้อยู่ใส่บาตรวันเกิดหนู พ่อมีเพียงแค่เงินไม่กี่เท่าไรมอบให้เป็นของขวัญ หนูจะนำมันไปซื้ออะไรเป็นของขวัญในวันเกิดหนูได้เลยจ๊ะ จากพ่อวุฒิ
      "พ่อ...นี้มันของพ่อ"
      พรพิงค์แกะซองจดหมายพบธนบัตรจำนวนพันบาทอยู่ห้าใบ 
       "ตั้งห้าพันบาท"
      "พ่อเขาฝากไว้ให้หนูน่ะ เผื่อเราอยากได้อะไรจะได้ซื้อได้เลย ซื้อเองน่าจะถูกใจมากกว่าซื้อให้น่ะจ๊ะ"
     "ตื่นกันแต่เช้าเลยนะครับแม่และพิงค์"
    "วินตื่นแล้วก็ดี แม่ทำโจ๊กไว้ในครัว เราไปตักมากินได้เลยนะ"
    "ครับ วันนี้ผมว่าจะชวนพิงค์ไปเที่ยวห้างนะครับ เห็นพ่อเขาบอกผมไว้พิงค์จะได้ไปซื้อของที่พิงค์ชอบ"
   "หนูรักพี่วินที่สุดเลยค่ะ"

    พรพิงค์ยิ้มด้วยความสุข ช่างเป็นวันเกิดที่พิเศษที่สุดเท่าที่มีมาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เธออายุได้ยี่สิบอย่างสมบูรณ์เธอย่างก้าวของการเป็นผู้ใหญ่มาได้ก้าวหนึ่งแล้วเธอคิดเช่นนั้น และในใจของเธอก็มีความหวังที่ปรารถนามานานคือการมีคนรักสักคนคงด้วยความเจริญของวัยที่ทำให้เธอเกิดมาไฟของแรงปรารถนาที่อยากจะมีความรัก เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆเขาที่มีกันแล้ว และอีกอย่างคือการไปอียิปต์ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดของเธอเอง พรพิงค์เธอเดินไปยังครัวเพื่อที่จะตักโจ๊กที่แม่ทำไว้เพื่อทานเป็นอาหารเช้า เธอเดินมายังโต๊ะอาหารซึ่งมีพี่วินซึ่งกำลังนั่งทานอยู่ก่อน 
     "เป็นอย่างไรบ้าง น้องสาวอายุยี่สิบเต็มแล้วน่ะ"
     "รู้สึกว่าตนเองได้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้วน่ะค่ะ"
    "การเป็นผู้ใหญ่เขาไม่ได้มองกันที่อายุน่ะ เขามองก็ที่ความคิด"
    "พี่วินว่าอ่ะ หาว่าหนูไม่โตเหรอ"
    "ฮา..ฮา..ฮา... ไม่จ๊ะ พี่แค่ล้อเล่นเฉยๆ กินซะเดี๋ยวประมาณสิบโมงพี่จะพาเราไปห้าง"
    "พี่วินค่ะ หนูนัดกัญญาไว้ด้วยพี่วินขับไปรับกัญญากับหนูด้วยนะค่ะ"
     ภัทรวินถึงกับอึ้งและเงียบไม่ตอบอะไรเอาแต่ตักโจ๊กเข้าปาก พรพิงค์ไม่ได้สงสัยอะไรต่อการเงียบเฉยของภัทรวินเพราะคิดว่าเป็นการรับปากแล้ว จึงมิได้ว่าอะไร ภัทรวินในใจคิดอยู่เพียงว่า น่าเบื่อจังต้องไปเจอยายเด็กแก่แดดคนนั้นอีกแล้วหรือนี้ พรพิงค์ทานโจ๊กเสร็จก็เดินนำถ้วยโจ๊กเข้าไปล้างในครัว จากนั้นก็เข้าไปในห้องของเธอ เธอนั่งลงบนเตียงแล้วหยิบย่ามของเธอซึ่งวางอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วค้นเอกสารประกอบการเรียนออกจากย่ามมาวางเรียงรายเต็มเตียงของเธอและแล้วเธอก็พบกับกระดาษใบเล็กๆเท่านามบัตร เธอหงายกลับด้านดูปรากฏว่า 
   "นี้มันนามบัตรใครกัน?"
    เธออ่านจนทราบได้ว่านามบัตรนี้เป็นของพี่สาวคนสวยที่เธอเจอที่ร้านขายหนังสือในห้างสรรพสินค้า เธอยิ้มด้วยความดีใจเหมือนเจอของมีค่า 
   "จริงสิ เรานะจะแวะไปร้านขายของเก่าของพี่ไอยรินทร์"
   ตัวหนังสือที่ปรากฏบนนามบัตรระบุว่า ไอซิส เราสามารถเนรมิตของที่คุณอยากได้สมปรารถนา ที่ตั้งของร้านคือตึกแถวที่เลยถัดไปเพียงบ้านไม่กี่หลังเอง พรพิงค์จึงเกิดความคิดที่จะไปเยี่ยมเยือนร้านของไอยรินทร์   แต่แล้วเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารที่พ่อ แม่และพี่วินได้ว่ากล่าวที่หาว่าพี่ไอยรินทร์เป็นบุคคลอันตราย เธอคิดไปมาว่าจะทำอย่างไรใจหนึ่งก็อยากไปหาพี่สาวที่แสนดี แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าเพราะกลัวแม่กับพี่วินจะว่าและห้ามเอา เธอจึง

     "เราต้องแอบไปโดยไม่ให้แม่กับพี่วินรู้ว่าเราไปหาพี่ไอยรินทร์"
    พรพิงค์ยิ้มและหวังว่าหากไปร้านของไอยรินทร์แล้วจะได้ของเก่าจากประเทศอียิปต์ที่สามารถจ่ายในราคาที่เงินของพ่อสามารถที่จะซื้อได้มาเป็นของตนเอง พรพิงค์เก็บนามบัตรนั้นไว้ในกระเป๋าสตางค์ของเธอ แล้วทำการเก็บเอกสารประกอบการเรียนเข้าชั้นวางหนังสือที่มุมหนึ่งของห้องอย่างเป็นระเบียบและหนังสือเล่มนั้นเธอเอามันเข้าชั้นรวมกับบรรดาหนังสือเล่มอื่นๆของเธอ 
    "การที่เรามีหนังสือเล่มใหญ่มาไว้ในชั้นหนังสือแลดูว่าเราเป็นนักหนอนหนังสือเหมือนกันน่ะเรา"
   ซึ่งหนังสือเล่มใหญ่ๆส่วนมากจะมีราคาแพงจนเธอเสียดายที่จะซื้อมาครอบครองแต่หนังสือเล่มนี้เธอได้มันมาอย่างปาฏิหาริย์เพราะไอยรินทร์หญิงสาวมหัศจรรย์ที่เสมือนฟ้าส่งเธอมามอบหนังสือเล่มนี้แก่เธอ 
      พรพิงค์เก็บนามบัตรของไอยรินทร์ไว้ในกระเป๋าสตางค์ของเธอ เธอจัดเก็บเอกสารต่างๆเข้าใส่ยามดังเดิมและนำย่ามนั้นวางไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น 
      "พิงค์ พิงค์จะไปรับกัญญากี่โมงจ๊ะ" ภัทรวินถาม 
      "ใกล้แล้วค่ะ เดี๋ยวพิงค์ออกไปนะค่ะพี่วิน"
      "เดี๋ยวพี่จะไปรอที่รถนะครับ"
      "ค่ะ"
      พรพิงค์เข้าไปในห้องน้ำ ส่องกระจกดูความเรียบร้อยแล้วออกจากห้องนอนของเธอไป ภัทรวินนั่งรออยู่บนรถ เมื่อพรพิงค์เดินออกมาจากบ้าน เขาเริ่มสตาสเครื่องยนต์ พรพิงค์เดินไปประตูรั้วหน้าบ้าน ภัทรวินขับรถและมาจอดยังข้างบ้าน 
     "ไปกันดีๆนะลูก" แม่ของพรพิงค์กล่าว
     "ค่ะคุณแม่"
    พรพิงค์เดินไปขึ้นรถ 
     "วันนี้ที่เราชวนกัญญามา มีโปรแกรมอะไรบ้างหรือเปล่า"
    "มีค่ะ พิงค์กับกัญญานัดว่าจะไปเดินดูของกันที่ห้างสรรพสินค้าค่ะ พิงค์ว่าอยากจะได้อะไรสักอย่างที่ถูกใจมาเป็นของขวัญวันเกิดค่ะ"
     ภัทรวินไม่ได้ถามอะไรอีก เขาตั้งหน้าตั้งตาขับรถจนมาถึงบ้านของกัญญา ซึ่งกัญญานั่งรออยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้านอยู่แล้ว 
    เมื่อกัญญาเห็นรถของพรพิงค์แล่นมาจอดที่หน้าบ้าน เธอรู้สึกเหมือนว่ายิ้มอยู่ภายในใจด้วยความรู้สึกที่ใจเต้นแรง เธอตื่นเต้นจนคิดไปต่างๆนานา 

  "กัญ...เรามาแล้วจ๊ะ ขึ้นรถเลย"
   กัญญาเปิดประตูขึ้นรถ 
   "สวัสดีค่ะ พี่วิน"
    "สวัสดีครับ"
     "กัญ วันนี้เราไปดูของกันที่ห้างน่ะ "
    "ได้จ๊ะพิงค์"
    กัญญาไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ เธอแอบมองยังกระจกรถ ซึ่งปรากฏใบหน้าของภัทรวินเสี้ยวหนึ่ง เธออิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก พรพิงค์รู้อยู่อย่างเต็มอกว่ากัญญาเพื่อนรักของเธอนั้นหลงรักพี่ชายของเธอเข้าแล้ว และแผนการนี้เธอก็ให้กัญญาเพื่อนรักของเธอได้ใกล้ชิดกับพี่ภัทรวิน 
    ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงห้างสรรพสินค้า ภัทรวินเลือกที่จอดที่เหมาะสมแล้ว พรพิงค์กับกัญญาก็ลงจากรถ 
   "พี่วินค่ะไปด้วยกันนะค่ะ" พรพิงค์ขอ 
   "ได้จ๊ะ"
    พรพิงค์กับกัญญาเดินนำไปโดยมีภัทรวินเดินตาม ทั้งสามเดินชมร้านค้าต่างๆในห้างสรรพสินค้านานสองนาน 
    "พิงค์จ๊ะ พี่เห็นเราเดินดูมานานแล้วยังไม่มีของถูกใจเลยหรือ"
    "ยังเลยค่ะพี่วิน มีอะไรที่โดนใจหนึ่งเลย"
    "ยายพิงค์ก็อย่างนี้ล่ะค่ะพี่วิน บางทีหนูมาเดินเล่นห้างกับพิงค์นานมากกว่าจะได้ซื้ออะไรสักอย่าง"
    ภัทรวินยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและหัวเราะ ใจของกัญญาเต้นแรง เธอมีความสุขมาก 
     "กัญก็ว่าเราเกินไป พิงค์เริ่มหิวแล้วนะ ตอนนี้ก็เที่ยงแล้วด้วย เราไปทานข้าวกันเถอะ"
     และแล้วพงพิงค์ต้องสะดุ้งเมื่อเธอเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีกรม สวมแว่นตากันแดดสีดำ ห่มด้วยผ้าพันคอทีขาวครีม เธอว่าหญิงคนนั้นคือ ไอยรินทร์ แน่ๆ เธอหญิงสาวคนนั้นที่หันมามองเธอพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ หายไปท่ามกลางผู้คนที่กำลังเดินไปมา 
    "จะกินร้านไหนดีล่ะ" ภัทรวินถามขึ้น
    พรพิงค์มองตาไม่กระพริบ เธออึ้งและดีใจที่เธอได้พบกับไอยรินทร์อีกครั้ง 
    "หนูทราบค่ะว่ามีร้านอาหารอยู่เจ้านี้ ร้านอิ่มทิพย์ ค่ะ เห็นคุณพ่อชอบพาเพื่อนๆมาเลี้ยงบ่อยๆค่ะ"
   "น่าสนใจดี น้องกัญช่วยพาไปนะครับ"
    "ค่ะ พิงค์จ๊ะ พิงค์เป็นอะไรมองอะไรอยู่"

    "เปล่าจ๊ะ เมื่อกี้เหมือนว่าเห็นคนที่ฉันรู้จัก"
    "ใครอ่ะพิงค์" ภัทรวินมองไปมุมที่พรพิงค์มองแต่เห็นได้แต่ผู้คนที่กำลังเดินไปมา 
    "ไม่มีอะไรค่ะพี่วิน สงสัยเขาจะไปแล้ว" ในใจของพรพิงค์ต้องการที่อยากจะเจอไอยรินทร์อีกครั้งจริงๆ
     ทั้งสามเดินกันมาเรื่อยจนเจอกับร้านอาหารไทยที่กัญญาบอกถึง ร้านจัดด้วยเครื่องครัวโบราณ เช่น จาม ชามลายผักกาด กระต่ายขูดมะพร้าว และเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ 
    "ร้านนี้ท่าจะแพงนะกัญ"
    "แต่เขาว่าอร่อยจริงๆนะพิงค์"
     "ไม่เป็นหรอก มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง วันเกิดพิงค์ทั้งที่"
     "ขอบคุณค่ะพี่วิน" พรพิงค์ยิ้ม
      ทั้งสามเลือกโต๊ะนั้นที่อยู่ด้านในสุดติดกระจกเพื่อชมวิวของถนนด้านนอก พนักงานเสริฟ์นำรายการอาหารมาให้ กัญญาเริ่มสาธยายอาหารที่ว่าอร่อยมีอะไรบ้าง ในที่สุดก็สั่งอาหารที่เป็นกับข้าวประมาณ 4 อย่าง พนักงานเสริฟ์รับรายการอาหารที่สั่ง ไม่นานมากอาหารทั้ง 4 อย่างก็มาเสริฟ์ที่โต๊ะเรียบร้อย และแล้วสิ่งที่เธอไม่คาดคิดเมื่อไอยรินทร์ปรากฏกายขึ้นในร้าน ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง พรพิงค์ถึงกับตะลึงอีกซึ่งก่อนหน้านี้โต๊ะนั้นยังไม่มีใครเข้ามานั่งเลย ไอยรินทร์ยิ้มให้พรพิงค์แล้วลุกเดินมายังโต๊ะที่พรพิงค์นั่ง
      "สวัสดีค่ะ พี่ไอยรินทร์ หนูดีใจจังที่ได้เจอพี่อีก"
      ภัทรวินหันไปก็ตะลึงกับความงามของไอยรินทร์ ไอยรินทร์ส่งยิ้มที่มีพลังแก่ไอยรินทร์ 
     "สวัสดีจ๊ะ พรพิงค์ ขอโทษนะค่ะขอนั่งร่วมโต๊ะได้หรือเปล่า"
     "ได้ครับ ยินดีครับ"
     กัญญาแทบจะช็อก เธอสัมผัสทีท่าของภัทรวินได้ว่า เขาชอบผู้หญิงคนนี้เข้าแล้ว เธอแอบเจ็บปวดไว้ข้างใน 

   ภัทรวินซักถามไอยรินทร์ต่างๆนานา จนสุดท้าย 
    "วันนี้เป็นวันเกิดของพรพิงค์เหรอค่ะ ไม่รู้มาก่อนเลย"
    "ค่ะ วันนี้วันเกิดหนูค่ะ"
    ไอยรินทร์ถอดแว่นตากันแดดออกแล้ววางไว้บนโต๊ะ ใจของภัทรวินตื่นแรงเมื่อเขาเห็นไอยรินทร์ทั้งใบหน้าเต็มๆ ตาอันคมแฝงด้วยพลังของเธอแทบจะทำให้เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว
    ไอยรินทร์เปิดกระเป๋าถือของเธอออกแล้วหยิบสายสร้อยสีเงินรูปดวงตาศิลปะอียิปต์ ขึ้นมาเมื่อเงินสะท้อนต้องแสง ก็จะประกายงดงาม ทุดคนอึ้งกับภาพที่เห็นมันเหมือนกับเวทมนต์ 
   "นี้คือ สายสร้อยแขวงจี้ดวงตาแห่งเทพเจ้าฮอรัส พระราชโอรสแห่งมหาเทพโอซิริส กับพระเทพีไอซิส พี่ขอให้พิงค์เป็นของขวัญวันเกิดจ๊ะ ขอให้น้องพิงค์มีความสุขมากๆ"
    แววตาของไอยรินทร์เปี่ยมไปด้วยความสุขที่ดูเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ เพราะภารกิจของเอใกล้จะสำเร็จแล้วนั้นเอง 
    "ขอบคุณค่ะพี่ไอยรินทร์"
     พรพิงค์รับสายสร้อยนั้นมาไว้แล้วสวมใส่ที่คอของเธอทันที 
     "กัญญาสวยไหม"
      "สวยจ๊ะ อิจฉาพิงค์จริงๆ ต้องขอขอบคุณพี่ไอยรินทร์แทนพิงค์จริงๆเลยนะค่ะ ทั้งสวยและยังใจดีอีก"
    "นั้นซิครับ ทั้งสวยสง่า และยังใจดีอีก" ภัทรวินพูดเสริมแต่ออกมาจากใจของเขาจริงๆ
    กัญญาเจ็บปวดอีกแล้ว 
     "ไม่หรอกค่ะ ฉันเองก็ไม่มีน้องสาว ไม่มีน้องชาย พอมาเจอกับพรพิงค์ก็ถูกชะตาด้วย ความจริงสายสร้อยอันนี้ต้องเป็นของพิงค์อยู่ค่ะ"
    "สายสร้อยอันนี้คงจะแพงน่าดูนะครับ"
     "ราคาไม่สำคัญหรอกค่ะ สำคัญคือฉันได้ทำตามที่ใจตนเองต้องการ...ฉันก็พอใจแล้วค่ะ"
   ทั้ง 4 ยังคงสนทนากันไปต่อไป พรพิงค์ชื่นใจกับของขวัญที่เธอได้มา สำหรับเธอแล้วสายสร้อยอันนี้เป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่สุดในชีวิตของเธอ ไอยรินทร์ขอตัวกลับ พรพิงค์มองเธอไม่ขาดตา ไอยรินทร์เดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง เงาของเธอที่ทอดลงบนกระจกนั้นเป็นร่างของหญิงสาวในชุดอียิปต์ ซึ่งผู้คนที่พบเห็นแทบไม่เชื่อในสายตาตนเอง แล้วเธอก็หายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความงงของผู้คนที่พบเห็น คราวของสาวยุคใหม่ซึ่งเป็นไอยรินทร์กลับคืนสู่เทพีไอซิสแห่งอียิปต์โบราณแล้ว นางก็หายเข้าไปยังทางเดินหนีไฟของห้างสรรพสินค้าโดยการเดินทะลุผนังไป เทพีไอซิสเดินทางไปยังยุคอียิปต์โบราณ 
     "อีกไม่นานเกินความรอคอยแห่งข้า พรพิงค์นางต้องได้เป็นราชินีแห่งไอยคุปต์..."

 พรพิงค์ตกใจกับสายสร้อยที่เธอได้มาในวันนี้ เธอถือจี้นั้นไว้ในมือของเธอแล้วแนบไว้ที่อก พอเธอเปิดมือดูจี้นั้นก็ปรากฏแสงสว่างจ้าส่องกระจายไปทั่ว เธอแสบตาจนต้องหลับตาสนิท ภัทรวินเห็นท่าพรพิงค์แปลกๆจึงถาม
   "พรพิงค์เป็นอะไร จึงหลับตาซะปิ๊ดขนาดนี้"
   "เปล่าค่ะ...แค่.."

    พอพรพิงค์ลืมตาอีกที แสงนั้นก็หายไปแล้ว แต่บรรยากาศภายนอกท้องฟ้าอยู่ๆกลับมืดด้วยเมฆฝน 
   "พี่ว่าเรากลับบ้านกันเถอะเดี๋ยวต้องไปส่งน้องกัญญาอีก"
    "ค่ะ..."
     ทั้งสามเดินออกจากร้านอาหารตรงไปยังที่จอดรถ ภัทรวินขับไปส่งกัญญาที่บ้าน ฟ้าก็ผ่าและร้องเป็นระยะ 
      ทางด้านของหนึ่ง เทพีไอซิสพร้อมด้วยเทพีเนฟทีปทรงมองเหตุการณ์ผ่านสระน้ำทิพย์ 
      "ไม่นาน พรพิงค์ก็จะเดินทางมายังอียิปต์โบราณ"
      "น้องแทบจะอดใจต้อนรับเหลนสะใภ้ไม่ไหวแล้วเพคะพระพี่นาง"
      "ใจเย็นเถิด วันนี้นางมาแน่ๆ"
     ทางด้านวิหารแห้งแสงตะวัน เทพเจ้าทั้งสาม ได้แก่เทพราห์ เทพท็อต และเทพคอนชู กำลังสนุกสนานกับการเดินหมากตาราง 
      "ดูซิว่าตานี้ท่านพี่จะเสียหมากอีกไหม"
      "น้องข้า อย่าดูถูกตาแก่อย่างข้าน่ะ"
       "ข้าว้า ท่านทั้งสองต้องเสียตานี้ให้แก่ข้าแน่ๆ"
      "ข้าเองก็อยากที่จะชนะท่าน คอนชูจริงๆ"
      "เทพราห์ผู้ยิ่งใหญ่เชิญเดินเถิดท่าน เราจะได้ทราบผลแพ้ผลชนะกันเสียที"
     เทพราห์กำลังจับหมากตัวหนึ่งขึ้นหลังจากที่คิดไตร่ตรองอยู่นาน และแล้วเทพราห์ก็ทรงหันไปยังด้านข้างสายพระเนตรมองไปยัง สายฟ้าอสุนีบาตมากมายกระจายไปทั่ว 
     "แปลกประหลาดจริงๆ ทำไมสายฟ้าจึงฟาดลงมากมายเช่นนี้มันผิดสังเกต"
     เทพท็อตถึงกับเหนื่อยตก เทพท็อตจึงพยายามจะบ่ายเบี่ยงความสนใจของเทพราห์ 
     "ท่านพี่เดินเถิด ข้ากับเทพคอนชูรอท่านนานแล้วนะ กำลังจะสนุกเลย"
     "นั้นซิน่ะ เรามาเดินกันต่อเถิด"
      เทพราห์วางหมากลง 
      "ข้ากินแล้ว น้องข้า"
      เทพท็อตโล่งอกไปที ท่านภาวนาหวังให้แผนการนั้นจนสำเร็จก่อนที่เทพราห์จะไม่สนใจในการเดินหมากตารางอีกต่อไปนั้นหมายความว่า ความยุ่งยากต้องเกิดขึ้น แต่แล้วอสุนีบาตแรงขึ้นทุกทีจนแสงแห่งอสุนีบาตนั้นจ้าเข้าพระเนตรแห่งสุริยเทพราห์ หมากตัวต่อไปในกระหัตถ์แห่งพระองค์ซึ่งกำลังจะวางไว้ลงตารางต่อไปแต่แล้ว...
     เทพท็อตเหนื่อยไหลไปทั่วตามใบหน้า ขอภาวนาให้พระองค์ทรงอย่าได้สนใจอสุนีบาตเหล่านั้นเลย หากพระองค์สนพระทัยขึ้นมา พวกเราพบจุดจบที่ไม่สวยแน่ๆ 
  "ข้ากินอีกแล้ว ข้าได้กินของท่านและท่านเทพคอนชู"
   "เสด็จพี่ทรงปราชญ์เปรื่องมากพ่ะย่ะค่ะ"
 "น้องข้า เจ้าจงรักษาหมากของเจ้าให้ดีๆ ไม่นั้นข้าอาจจะกินหมากของเจ้าอีกตัวนะจะบอกให้ ฮา..ฮา...ฮา...."
   จันทรเทพท็อตค่อยคลายความตื่นกลัวลง ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง แสงอสุนีบาตเหล่านั้นจางบางบางลงเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไป 
    ภัทรวินขับรถมาส่งกัญญา 
    "รอก่อนนะพิงค์รอกันที่มหาวิทยาลัย  พี่วินสวัสดีค่ะ"
    "สวัสดีครับน้องกัญ"
    กัญญาลงจากรถแล้วผลักประตูรั้วเข้าไปในบ้าน จากนั้นไม่นานฝนก็โปรยปรายลงมา 
   "ว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่หน้าฝนซะหน่อย ทำไมหนอไม่เข้าใจเลยนะคะพี่วิน"
   "ก็อย่างนี้ล่ะจ๊ะ โลกเราเปลี่ยนแปลงไปมาก อากาศก็แย่ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก จนคนอย่างเราก็จะบ้าตามธรรมชาติอยู่แล้ว"
   "พี่วินก็พูดถูก"
   ขณะนั้นจราจรบนท้องถนนติดขัด สายฝนก็เทลงมาอย่างหนักจนน้ำท่วมถนน ลมข้างนอกก็เป็นลมพายุพัดอย่างกระหน่ำมีต้นไม้หักโครมลงมาจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดจราจรติดขัด 
   "พิงค์โทรบอกแม่หน่อยว่า เราอาจจะกลับบ้านช้าเพราะเกิดจราจรติดขัด พี่กลัวว่าแม่จะรอ..."
   "ค่ะ"
   พรพิงค์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดเบอร์โทรศัทพ์บ้าน 
  "ฮัลโหลแม่ค่ะ"
  "พิงค์ทำไมเรากับพี่ออกไปข้างนอกนานจัง แม่เป็นห่วงน่ะ ตอนนี้ฝนฟ้าก็แปรปรวนรีบกลับบ้านนะจ๊ะ แม่เป็นห่วงมากเลย"
   "ค่ะ แม่แต่ตอนนี้รถติดมากเลยค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะค่ะ"
   "จ๊ะ แค่นี้น่ะ"
   "ค่ะ"
   แม่ของพรพิงค์วางสายลง แม่หันไปยังกรอบรูปทอง ซึ่งถูกแขวงไว้ที่ผนังข้างห้องรับแขก เป็นรูปภาพของพระแก้วมรกตทรงเครื่องภาคฤดูร้อนอย่างงดงาม แม่พนมมือขึ้น
 
"คุณพระคุณเจ้าทำไมมันวิปโยคเช่นนี้น่ะ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลกช่วยคุ้มครองลูกวินกับลูกพิงค์ด้วยเทอญ... สาธุ "
"ไม่เป็นไรเราจะดูแลนางให้เป็นอย่างดี" เทพีไอซิสในร่างกายทิพย์ยืนอยู่ข้างหลังแม่ของพรพิงค์แล้วหายวับไป 
  "นั้นเสียงใครอ่ะ หรือจะเป็นเสียงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สาธุ..."
   แต่แล้วก็มีเสียงกระจกแตกดังขึ้น 
  "ว๊าว... ตายแล้วอะไรแตก"
   แม่ของพรพิงค์เดินไปดู ปรากฏว่า กรอบรูปที่ใส่ภาพของพรพิงค์หล่นลงมาแตก กระจาย
  "ตายแล้ว มันเป็นลางหรือเปล่า พิงค์ลูกแม่ โธ่คุณพระคุ้มครองลูกของลูกด้วยเทอญ"
   ด้านทางพรพิงค์กับภัทรวินที่ยังไม่ขยับไปไหน รถก็ยังคงติดอยู่ไม่สามารถจะขยับไปไหนได้เลย 
  พรพิงค์นั่งนิ่งแล้วเธอก็ดูสายสร้อยของเธอ เธอยิ้มแล้วดู เธอมีความสุขมากทุกครั้งที่ได้เห็นจี้อันนี้ ในใจของเธอมีแต่คำว่า 
    "หากเราได้ไปอียิปต์ก็คงจะดี...."
   ไม่ทันใดจี้สายสร้อยนั้นก็ลอยขึ้นมาแตะที่หน้าผากของพรพิงค์ พรพิงค์ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก เธอพยายามที่จะร้องภัทรวินแต่เขานิ่งสนิทเสมือนว่าภัทรวินนั้นต้องมนต์ พรพิงค์ร้องจนสุดเสียง แต่แล้วร่างของเธอค่อยๆหาย แสงสว่างนั้นกินร่างของพรพิงค์ทีละนิดทีละนิดอย่างน่าสยอง พรพิงค์ตอบตลอดว่า มันคืออะไร มันเป็นอะไร ใครก็ได้ช่วยฉันที เธอมิอาจจะหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เธอก็ได้หายไปแสงสว่างนั้นก็สลายสิ้นไป เธอไม่มีตัวตนอยู่ที่นั้นแล้ว ภัทรวินหันมาอีกทีก็ไม่เห็นพรพิงค์แล้ว สายฝนหยุดตก ลมสงบ ต้นไม้ที่หักลงมานั้นก็หายไป ทุกอย่างเหมือนไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเลย ภัทรวินแทบจะช็อกคาที่ น้องสาวของเขาหายไปโดยที่ตัวเขาเองไม่รู้ตัวเลยว่า พรพิงค์หายไปไหน เขาลงจากเรือเดินไปมาและพยายามที่จะตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
   "พรพิงค์...พรพิงค์......"
    เสียงแตรรถดังขึ้น จราจรกลับมาปกติแล้ว ภัทรวินงงสับสนและเสียใจจนมิอาจจะกลั้นน้ำตาไว้ดี เขาทนรถหลบไปจอดแล้วเขาก็วิ่งตามหาพรพิงค์บริเวณนั้นด้วยความหวังที่มีว่าเขาจะต้องเจอพรพิงค์ แต่มันก็เสมือนการคว้าน้ำเหลว..... เขากลับไปที่บ้านทั้งๆที่ไร้พรพิงค์ แม่ออกมารับ
   "กลับซะมืดเลย เล่นเอาแม่เป็นห่วง วินแล้วพรพิงค์หายไปไหน"

   "ผมก็ไม่รู้ครับแม่ว่าน้องหายไปไหน..."
   "พิงค์หายตัวไปเหรอ....ตายแล้ว แจ้งความยังวิน"
    "ผมแจ้งแล้วครับ บอกลักษณะพร้อมภาพถ่ายของพิงค์มอบให้แก่ตำรวจแล้วครับ แม่ครับผมเสียใจ ผมไม่รู้เลยว่าน้องหายไปไหน ผมมันเป็นพี่ที่แย่และเลวมากครับแม่"
   "แต่พิงค์ยังโทรมาหาแม่เลยว่า จะกลับบ้านช้าเพราะรถติด"
    "ใช่ครับ แต่ตอนนั้นพิงค์กับผมอยู่บนรถทั้งคู่ แต่ไม่รู้เป็นอย่างไรพอผมหันมาอีกที น้องก็หายไปแล้ว"
   ภัทรวินถึงกับล้มอ่อนจากซุกลงกับพื้น แม่เข้ากอดภัทรวิน
     "ไม่เป็นไรหรอกลูกวิน แม่เชื่อว่าทางการเขาต้องช่วยเราได้"
    แม่กับภัทรวินกอดกันและร้องไห้ด้วยความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงทางการจะตามหาพรพิงค์อย่างไรก็ไม่เจอได้ เพราะพรพิงค์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้เสียแล้ว..... 
    พรพิงค์ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้น เธอค่อยๆลืมตาขึ้น สายตาของเธอสัมผัสกับสายแดดบนยอดต้นอินทผลัมที่ไม่จ้าเพราะมีใบของต้นอินทผลัมบดบัง 
   "ที่นี้ที่ไหนกัน และฉันมาที่นี้ได้อย่างไรกัน"
    "ตื่นแล้วหรือ พรพิงค์"
     พรพิงค์รู้สึกได้ว่าเสียงนี้ช่างเป็นเสียงที่คุ้นเคย เธอลุกขึ้นแล้วหันไปด้านข้าง ไอยรินทร์นั่งอยู่ข้างเธอนั้นเอง 
      "พี่ไอยรินทร์ค่ะ ที่นี้ที่ไหน และทุกอย่างที่เกิดมันเป็นเพราะสายสร้อยเส้นนี้ใช่หรือไม่ค่ะ"
     "เข้าใจดีแล้วจ๊ะ ข้าจะตอบเจ้า ที่นี้คืออาณาจักรอียิปต์โบราณ"
      "อียิปต์โบราณ อะไรน่ะ หนูไม่เชื่อ พี่ไอยรินทร์ลักพาตัวหนูมาใช่ไหน พี่ไอยรินทร์เป็นผู้ร้าย"
      "แม่หนูเจ้ากลัวเกรงบ้างไหมว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร"
      "เนปทีนพอ...นางกลัวและตื่นสถานที่ เราต้องค่อยๆแจ้งแก่นางเพื่อให้นางคลายความสงสัย"
       "เพคะพระพี่นาง"
        "แต่พี่ไอยรินทร์ พี่ทำไมถึงแต่งตัวเหมือนราวกับภาพฝาผนังอียิปต์โบราณแล้วเครื่องประดับศีรษะพี่นั้นไม่หนักหรอกหรือ"
       "ไม่หรอกจ๊ะ ข้าสวมมันจนชินแล้วสวมมันมานับเป็นพันกว่าปีแล้ว"
       "หรือว่า พี่จะเป็นปีศาจอย่างปีศาจมัมมี่ในหนัง แล้วจับหนูมาเพื่อฆ่าหนูแล้วก็กิน"
       "ตายแล้ว เธอเราสูงส่งเสียมากกว่าปีศาจมัมมี่อะไรของเธอนะจ๊ะ"

      "พรพิงค์จงตั้งใจฟัง สิ่งที่เราจะแจ้งแก่เธอ...."
       "ค่ะ"
       "ดีมากจ๊ะ"
       เทพีไอซิสเผยรัศมีแห่งเทพเจ้าออกจากร่าง ภาพนิมิตที่พรพิงค์เห็นนั้น คือ ภาพของเทพเจ้า 
     "พี่ไอยรินทร์ เป็นเทพเจ้าอียิปต์.."
      "ข้าคือเทพีไอซีส"
      "ส่วนข้าคือเทพีเนปทีส"
       "หนูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้มีโอกาสได้พบกับเทพเจ้าอียิปต์เป็นๆอย่างนี้เลยค่ะ" พรพิงค์ปราบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง
      "แม่นางพรพิงค์ สิ่งที่ข้ากระทำกับเจ้าอาจจะดูแล้วเป็นสิ่งที่เลวร้าย แต่เจ้าคือความหวังสุดท้ายแห่งเรา เราจึงจำเป็นต้องให้เจ้าช่วย องค์ฟาโรห์ปัจจุบันทรงครองราชย์ท่ามกลางผู้ที่หวังผลประโยชน์ เห็นฟาโรห์น้อยเป็นเครื่องมือหาทรัพย์สมบัติที่สิ่งสนองความต้องการ เช่นนั้นข้าเห็นสมควรที่จะหาองค์ราชินีเพื่อคอยช่วยเหลือองค์ฟาโรห์ ซึ่งข้าได้เลือกแล้ว คือ" 
    สายตาเทพีไอซิสจ้องมองสบตาพรพิงค์
    "พระองค์หมายความว่าหนู...."
      "เจ้าคือผู้ที่เราเลือกให้ครองตำแหน่งพระมเหสีแห่งองค์ฟาโรห์ แล้วแม่เมืองแห่งอียิปต์อันไพศาลนี้"
     "นี้ไม่ได้ฝันไปนะค่ะ"
     "เจ้าคือ ราชินีผิวสีน้ำผึ้งในตำนาน"
     "ราชินีผิวสีน้ำผึ้ง เป็นเรื่องจริง"
      "ซึ่งก็คือเจ้า พรพิงค์ เจ้าจงรับเทวบัญชาจากเราเทพีไอซีส เมื่อเจ้าได้เป็นพระมเหสีแห่งองค์ฟาโรห์แล้วไซร้จงทำหน้าที่ช่วยเหลือองค์ฟาโรห์สุดแรงกำลังของเจ้า ทั้งแรงใจ แรงกาย และสติปัญญาของเจ้า ที่ข้าเห็นแล้วว่ามันเป็นเครื่องมือช่วยเจ้าได้เป็นอย่างดี เจ้าต้องทำให้อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองตลอดพระชนม์ชีพแห่งองค์ฟาโรห์"
     "เจ้าจงก้มศีรษะลง แล้วคุกเข่า ยื่นมือของเจ้าออกมา"
      พรพิงค์ทำตามที่เทพีเนปทีนตรัส 
       เทพีไอซีสวางสร้อยดวงเนตรเทพเจ้านั้นลงบนมือของพรพิงค์ 
       "เจ้าจงสวมมือไว้ตลอด ข้าจะรับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าได้จากสร้อยเส้นนี้ "
 
     พรพิงค์สวมมันไว้ เธออาจจะมีอคติบ้างเพราะสร้อยนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอไม่ได้อยู่กับครอบครัวของเธอ 
      "และหนูจะได้กลับบ้านไหมค่ะ พระองค์"
      "ข้าเข้าใจ แต่ที่นี้คือบ้านของเจ้าแล้ว พรพิงค์ อีกไม่นานอียิปต์แห่งนี้ เจ้าก็จะมองได้ว่า อียิปต์คือบ้านของเจ้า"
     "จงอย่าทำให้เราเสียใจนะพรพิงค์ เราหวังในตัวเจ้ามาก"
       "ค่ะ เทพีเนปทีน"
       "ที่แห่งนี้ที่เราอยู่มันคือ โอเอซีสกลางทะเลทราย เจ้าจงหาทางไปยังอาณาจักรอียิปต์ด้วยตัวของเจ้าเอง"
     "ทำไมเป็นเช่นนี้ล่ะค่ะพระองค์"
      "เราต้องการให้เจ้าทำด้วยตนเอง เพื่อให้เราชิมลิ้นรสความยากลำบาก เพราะวันข้างหน้าเจ้าจะยิ่งใหญ่ เมื่อเจ้าอยู่จุดสูงสุดแล้ว เจ้าจะได้เข้าใจผู้ที่ตกยากเช่นเจ้าตอนนี้ เราลาก่อน พรพิงค์..."
     ร่างของเทพีไอซิส กับ เทพีเนปทีนหายวับไป ปล่อยให้พรพิงค์อยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง
   
 พรพิงค์นั่งอย่างเปล่าเปลี่ยว เธอชันเข่าขึ้นและอกเข่า น้ำตาไหลรินจากดวงตานองไปทั้งสองแก้มของเธอ เธอมองเห็นแต่ทรายกับทราย และขอบฟ้าสีคราม เธอนั่งอิงหลังกับโค่นต้นอินทผลัม ร่มเงาของมันทำให้เธอหลบความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ได้ เธอสะอึกสะอื้นเป็นเวลานานจนเธอนั้นเจ็บหน้าอกไปหมด เธอคิดถึงบ้าน คิดถึงอนาคตของเธอ เพราะกี่ไม่กี่ปีเธอก็จะเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอจะได้ทำงานเก็บเงินเพื่อที่จะได้เป็นเที่ยวอียิปต์ เมื่อเธอนึกถึงความคิดที่เธอได้วางแผนไว้ เธอก็ถึงกับอึ้งเธอปาดน้ำตาออกจากใบหน้า เธอยิ้มขึ้นมาอย่างไม่เต็มที่นัก 
    "อียิปต์เหรอ ตายจริงเรานี้นับว่าโชคดีเหมือนกันน่ะ เรามาอียิปต์เองฟรีๆโดยไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ดีจริงๆ คำอธิษฐานของเราเป็นไปได้ก้าวหนึ่งแล้ว"
   พรพิงค์ลุกขึ้นและเดินไปจนสุดขอบต้นอินทผลัมต้นสุดท้าย เธอของเธอสัมผัสพื้นทรายที่ร้อนระอุ 
   "และเราจะไปไหนได้น่ะ ขอให้มีกลุ่มคาราวา หรือ ชนเผ่าเร่ร่อนอะไรก็ได้ผ่านมาที่โอเอซิสแห่งนี้เถิดไม่อย่างนั้นเราคงตายเป็นผีเฝ้าทะเลทรายแห่งนี้แน่ๆ"
   พรพิงค์กลับมายังตำแหน่งเดิมของเธอแล้วนั่งลง เธอหลับตาลงแล้วหลับไป
   ทางด้านวิหารแห่งแสงสว่าง สุริยเทพราห์ จันทรเทพท็อต และเทพคอนชูซึ่งกำลังเล่นอยู่การพนันอยู่นั้น เทพีไอซิสพร้อมด้วยเทพีเนปทีนก็เสด็จเข้ามากลางครัน 
   "ขอนมัสการพระบรมบิดาสุริยเทพราห์ วิทยาเทพท็อต และเทพคอนชู"

    "พวกเจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ากำลังจะจนมุมเสียแล้ว"
    "พระบรมบิดาสุริยเทพราห์ทรงพระปรีชาสามารถ คงไม่ต้องพึ่งเทพีอย่างพวกเราที่มิได้มีสติปัญญาเลิศนักหรอกเพคะ"
   "ฮา...ฮา... เนปทีน เนปทีน..."
    "เสด็จพี่ หมดทางแล้ว หมากตัวนี้ไม่สามารถที่จะเดินไปไหนได้อีกแล้วกระหม่อม"
    "ข้ายอมสิโรราบต่อเจ้า น้องข้า"
    "เสด็จพี่ จำได้ไหมว่าท่านเคยบอกกับหม่อมฉันว่า หากพระองค์ทรงแพ้หม่อมฉัน หากหม่อมฉันขออะไร พระองค์จะต้องให้ โดยมิอาจจะรีบเลี่ยงได้"
   "ข้าจำได้ เจ้าว่ามาเถิด ข้าตอนนี้ก็ไม่ต่างจากทาสของเจ้า"
   "คือว่า ข้าแต่เสด็จพี่ หม่อมฉันขอให้พระองค์ทรงกระทำตามที่เทพีไอซีสวินวอนขอ"
   "จะมาขออะไรกัน ตอนนี้แม่สาวมนุษย์จากโลกแห่งอนาคตนั้นก็มายังดินแดนอียิปต์โบราณแล้วมิใช่หรือ อย่าทำเป็นว่าข้าไม่รู้"
   "พระองค์ทรงทราบแล้วเหรอเพคะ"
    "ถูกต้องเนปทีน"
    "ไฉนพระองค์ทรงทราบ"
    "ไอซีสทำอย่างว่าข้าไม่รู้นิสัยของเจ้า เจ้าเคยยอมข้าตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเจ้าประสงค์อยากจะให้นางมา ข้าก็รีบทางให้ การเดินตารางหมากคราวนี้ ข้าก็รู้ว่าน้องข้ามาในอีแบบเดิม ตั้งแต่ครั้งยุคแห่งเทพนิยายเจ้าก็เอาหมากนี้มาตบตาข้าทุกครั้ง ข้าก็ยอมเพราะข้าชอบในการเดินหมาก ถึงข้าจะไม่เคยชนะเจ้าซะตาหนึ่งเลย"
   "เสด็จพี่ หม่อมฉันขอพระองค์โปรดอภัยแก่หม่อมฉันเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
    "เจ้าไม่ต้องมาขอข้า ท็อต"
   เสียงสุริยเทพราห์เสมือนว่าพระองค์ทรงกริ้ว เทพีไอซิส และเทพีเนปทีนแทบช็อก เทพคอนชูถึงกับงงกับเรื่องราวเพราะพระองค์ทรงมิรู้เห็นด้วย
   "ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร เจ้าจงดูแลนางให้ดูเป็นพอ หากองค์ฟาโรห์มีอันเป็นไป ข้าจะนำนางกลับคืนสู่มาตุภูมิที่นางจากมา"
   "พระองค์ทรงพระเมตตาเพคะ"
   "จงอย่าดีใจไปไอซิส เจ้าต้องเราเล่นนี้กับข้า อุปสรรคทุกอย่างที่น่าต้องประสบจะมาจากข้าทั้งสิ้น ข้าจะได้เป็นราชินีแห่งอียิปต์ได้หรือไม่ต้องมาจากตัวของนางเอง หากนางชนะใจข้าได้ ข้าก็จะยอมให้นางเป็นราชินีแห่งฟาโรห์"

   "หม่อมฉันจะช่วยนางทุกวิถีทางเพื่อให้นางได้เป็นราชินีแห่งองค์ฟาโรห์"
    "ข้าจะค่อยดู เกมส์เริ่มขึ้นแล้ว"
    สุริยเทพราห์ทรงร่ายเวทย์มนต์ แสงระยิบระยับดุจแสงของหินห้อยลอยไปมาภาพอันเสมือนกระจกแก้วก็ปรากฏขึ้น ภาพของพรพิงค์ที่กำลังนอนหลับอยู่นั้นเอง สุริยเทพราห์มองด้วยสายพระเนตรที่แสดงถึงความไม่พอพระทัยเป็นอันมาก พระองค์ทรงชูมือยกขึ้นเหนือศีรษะ แสงสีดำอำมหิตพุ่งเข้าไปยังกระจกใส 
   "พระองค์ทรงจะทำอะไรเพคะ"
   "เจ้ารอดูต่อไปเถิดไอซิส"
   คณะพ่อค้าค้าทาสกำลังเดินทางผ่านทะเลทราย ชายชราผู้แต่งกายภูมิฐานนั่งบนหลังอูฐ ประกบข้าด้วยลูกน้องซึ่งเป็นผู้ช่วย เขากำลังจะมุ่งหน้ากลับอียิปต์หลังจากที่เดินทางไปยังแอฟริกามาพร้อมด้วยทาสผิวสีดำสามคนเป็นชายหนึ่งคนและเด็กหญิงสองคน ทั้งสามเป็นพี่น้องกัน 
   "พี่ ข้าเหนื่อยแล้วหิวน้ำ"
   "ข้าก็เช่นกัน ข้าหิวน้ำเหลือเกิน"
   "ท่าน น้องสาวทั้งสองของข้าเหนื่อยมากพอแล้ว ข้าได้โปรดหยุดเพื่อให้นางพักเถิด"
  "เราต้องเดินทางให้ไปถึงอียิปต์ให้ทันคืนนี่น่ะเจ้าทาส"
   "ข้าทราบ แต่ข้าขอวินวอนของความเมตตาจากท่านได้โปรด"
   "นายขอรับ ข้าเห็นข้างหน้ามีโอเอซีสขอรับ"
   "เจ้าทาส ช่างโชคดี เราจะแวะยังโอเอซีส คงจะมีแหล่งน้ำให้น้องของมันได้ดื่มกันบ้าง ดีจริงๆ เราจะได้เก็บน้ำดื่มเพิ่มด้วย"
   คณะพ่อค้าทาสมุ่งหน้าไปสู่ โอเอซีสซึ่งเป็นที่พรพิงค์อยู่นั้นเอง 
    เทพีไอซิสตะลึง "ไม่น่ะพระองค์ พวกเขาคือพ่อค้าทาส"
   "ฮา..ฮา... ข้าจะดูซิว่านางจะได้เป็นนางทาส หรือ เจ้านางกันแน่"
   "พรพิงค์หนีเร็ว......"
    พรพิงค์สะดุ้งตื่นขึ้นมา "เสียงใครอ่ะ"
     "นายท่านนั้น ผู้หญิงงามเหลือเกิน"
     "จริงของเจ้า เจ้าไปจับนางมา"
     พรพิงค์ซึ่งกำลังงงที่ถูกปลุกให้เกิดจากเสียงที่นางไม่เห็นเจ้าของเสียง เธอตะลึงกลัวกับชายปริศนาในชุดอาหรับสองคน ที่จู่โจมเข้าหาพรพิงค์อย่างรวดเร็ว

    "พวกแกเป็นใคร"
    "แม่นาง เจ้าช่างงดงามจริงๆ หากเราปล่อยเจ้าไว้คงเสียดายเป็นนักหนา"
     ลูกน้องของพ่อค้าทาสจับตัวพรพิงค์ไว้ เอาเชือกมัดไว้ที่มือของเธอ และอุ้มนางไป พรพิงค์ทั้งดิ้นและกริ๊ด แต่เธอมิอาจจะสู้แรงลูกน้องของพ่อค้าทาสได้ เธอถูกโยนลงตรงหน้าพ่อค้าทาส เท้าของเธอถูกมัดไว้ 
    "เจ้าทั้งสองจงไปเก็บกักน้ำมาให้ทาสผิวดำมันกิน"
    "ขอรับนาย"
     พ่อค้าทาสลงจากหลังอูฐมาลงยังพรพิงค์ ด้วยอาการที่สิเน่หาพรพิงค์มาก 
     "แม่นาง เจ้าช่างเสมือนดอกไม้ที่มีค่าแห่งทะเลทราย ข้าโชคดีที่ได้เจ้ามา หากข้าจะขายเจ้าไปก็คงเสียดายเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะรับเจ้าไว้ในฐานะคนรักของข้า"
    พรพิงค์ส่ายหน้า
    "หนูยังเด็กมาก และท่านก็แก่รุ่นคุณปู่คุณตาหนูได้ ท่านเมตตาหนูเถิด"
    "ข้าไม่สน ข้าพอใจเจ้า แม่นาง ฮา...ฮา..."
    พ่อค้าทาสหันไปมองด้านหลัง 
     "พวกมันกินกันพอแล้ว เราต้องเดินทางต่อ"
     "ท่านขออีกสักหน่อย น้องข้ายังเด็กมาก"
     "พอแล้ว เสียเวลา"
      พ่อค้าทาสขึ้นนั่งบนหลังอูฐ 
     "พวกเจ้าให้นางนั่งบนอูฐที่ข้าซื้อมาไป เจ้าต้องรัดเชือกนางให้ดีๆน่ะ"
     "ขอรับ"
      ลูกน้องอุ้มพรพิงค์ขึ้นกับหลังอูฐ แล้วมัดเธอไว้อย่างแน่นหนา เธอแทบจะดิ้นไปไหนไม่ได้ เธอกำลังจะถูกปิดตา เธอมองไปยังเด็กหญิงทาสผิวดำที่มีท่าทีที่เหนื่อยล้า 
    "ท่านหนูขออย่างหนึ่ง และข้าจะไม่หนีไปไหนหากท่านทำตามที่หนูขอ"
     "ไหนจนว่ามา"
      "ขอให้เด็กหญิงทั้งสองนั่งร่วมไปกับหนูจะได้ไหม ดูน้องเขาเหนื่อยอ่อน คงจะเป็นไข้แดดเป็นแน่"
    "แต่เจ้าต้องตกลงยอมเป็นคนรักของข้า"
    "หนูยอมค่ะ"

     "พวกเจ้าจงเอาเด็กทาสมาอยู่กับนาง"
     "ขอบคุณน้ำใจแม่นางมาก"
      "ไม่เป็นหรอกพี่ชาย เราขอดูแลน้องสาวทั้งสองของท่านเอง"
      เด็กหญิงทาสทั้งสองขึ้นนั่งแนบกับพรพิงค์ พรพิงค์ถูกปลดเชือกออกเพื่อให้สะดวกกับการนั่งอูฐ พรพิงค์เหมือนจะโชคดีที่เธอได้อาศัยกลุ่มพ่อค้าทาสเดินทางไปยังอียิปต์ แต่ก็เป็นความโชคร้ายของเธอ ซึ่งเธอคงไม่พ้นจากการตกเป็นคนรัก หรือไม่ก็ตกเป็นทาสของพ่อค้าทาสผู้บ้าตัญหาคนนี้เป็นแน่ 
    ทางด้านบนสวรรค์ เทพีไอซิสวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด พรพิงค์ถูกจับไปเป็นทาสเสียแล้ว 
    "พรพิงค์..."
    "พระพี่นางเราจะทำอย่างไรดี"
    "พระองค์ ทรงกระทำเกินไปแล้ว ครั้งต่อไปหากถึงคราวของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไม่ยอมพระองค์เด็ดขาด"
    "เจ้าจงอย่าลืมนะไอซิส ว่าอาณาจักรอียิปต์ผู้ใดเป็นผู้สถาปนา"
    เทพีไอซิสถึงการเงียบไป เพราะเทพีมิอาจจะสู้สุริยเทพราห์ได้เป็นแน่ นางได้เพียงแค่มองภาพของพรพิงค์ที่กำลังเดินทางไปพร้อมคณะพ่อค้าทาส 
    "ไอซิสนี้มันเป็นเกมส์ระหว่างเจ้ากับข้า แต่พรพิงค์คือหมากที่มีหัวใจ นางมีสิทธิ์ที่จะชนะเราทั้งสองได้ด้วยนางเอง"
   "เกมส์นี้หม่อมฉันต้องชนะพระองค์ เช่นไรก็ตาม นางต้องได้เป็นราชินีแห่งอียิปต์ตามประสงค์แห่งหม่อมฉัน"
     เทพีไอซิสเดินจากไปจากวิหารแห่งแสงตะวัน พระองค์ทรงพิโรธและเกรี้ยวกราด เทพีส่งพลังออกมาจากร่างเสมือนสายฟ้าแห่งการทำลายล้าง ไม่ทันใดนางก็หายวับไปท่ามกลางสายเนตรแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย
    "พระพี่นางทรงโกรธมาก"
    เงามืดที่แอบอยู่โดยไม่มีสนใจ อยู่หลังเสาในสุดของวิหารแห่งแสงตะวัน เปล่งเพลิงแห่งความแค้นที่แผ่ซ่านออกมา แววตาสีแดงก่ำเสมือนเลือดที่นองในสงคราม กรงเล็บที่ยาวขีดกับเสาจนเป็นรอย นั้นคือ อธรรมเทพเช็ต ศัตรูแห่งเทพีไอซิสตั้งแต่สมัยแห่งเทพนิยาย 
    "สุริยเทพราห์ทรงหลงเชื่อเรา ดีมากพระองค์ดีมาก ข้าจะทำให้ไอซิสพ่ายต่อเรา ฮา...ฮา...ฮา...."
   ที่แท้แล้ว อธรรมเทพเซ็ตอยู่เบื้องหลังแห่งการกระทำแห่งสุริยเทพราห์ ด้วยพระประสงค์ที่ชั่วร้าย

   "หากพระองค์กับไอซิสบาดหมางกัน ไอซิสก็จะไม่ปกป้องบัลลังก์แห่งสุริยเทพ ข้าก็ขึ้นเป็นสุริยมหาเทพแทนราห์ ฮา.....ฮา......"
     ครั้งยุคแห่งเทพนิยาย อธรรมเทพเซ็ตก็มิเคยละทิ้งแผนการยึดครองบัลลังก์แห่งดวงตะวัน พระองค์ยุยงให้องค์สุริยเทพราห์ต่อต้านการกระทำของเทพีไอซิสอันเสมือนการวางเมล็ดแห่งความแตกแยกใส่ไว้ไปในจิตใจระหว่างเทพเจ้าทั้งสองพระองค์ ครานี้อธรรมเทพยังรอคอยอย่างใจเย็น เสมือนชาวไร่ที่โรยเมล็ดพืชพันธุ์และรอให้มันเติบโตและเก็บเกี่ยวไม่มีผิด เริ่มจะน่าเป็นห่วงเสียแล้วว่า องค์สุริยเทพราห์จะทรงกระทำอะไรกับพรพิงค์หญิงสาวจากโลกอนาคต และเทพีไอซิสจะทรงช่วยเหลือเธอได้หรือไม่ ?  

 คณะพ่อค้าทาสเดินทางรอนแรมจนมาถึงขอบเขตนครหลวงของอาณาจักรอียิปต์ กำแพงเมืองอันวิจิตรตระการปรากฏอยู่เบื้องหน้า เทวรูปของอันเสมือนเป็นเทพทวารบาลยืนประทับอย่างน่าเกรงขาม อยู่ในท่ายกมือประทานพร แววตาของพรพิงค์เป็นแววาวจนน้ำตาไหลรินด้วยความสุขปิติยิ่ง เธอเองแทบจะไม่เชื่อเสียเลยว่าเธอนั้นจะได้มายังอาณาจักรอียิปต์โบราณนี้จริงๆ
     "ที่นี้หรือ อียิปต์"
     พรพิงค์กล่าวอย่างค่อยๆ สายตาของเธอจับต้องกับสถาปัตยกรรมที่งดงาม อาคารปูนสีขาวสะอาดตา ผู้คนที่สวมแต่งกายด้วยผ้าสีขาวเหมือนในภาพวาดตามเทวาลัยและสุสานของกษัตริย์  เธอสะดุ้งจนต้องมองเหล่าหญิงสาวชาวอียิปต์ที่เขียนขอบตาได้อย่างสวยงาม เธอยิ้มอย่างมีความสุข เธอมองยังเด็กหญิงทาสทั้งสองที่เธออ้อบกอดไว้ซึ่งกำลังหลับอยู่อย่างน่ารัก แต่ในที่สุดเธอก็ถูกนำพามายังที่แห่งหนึ่ง มันเป็นอาคารที่โอ่งอ่าใหญ่โต มีสวนที่สวยงามด้วยดอกไม้ที่แปลกตา ลูกน้องของพ่อค้าทั้งสองลงจากหลังอูฐคนหนึ่งนำทาสผู้ชายเข้าไป ส่วนอีกครั้งมาประคองเอาเด็กหญิงทาสทั้งสองและพรพิงค์ลงจากหลังอูฐ พรพิงค์จูงมือเด็กหญิงทั้งสองและเดินตามพ่อค้ากับลูกน้องของพ่อค้าเข้าไปภายในคฤหาส์นหลังสีขาว 
       พรพิงค์ตื่นตาตื่นใจมากเมื่อเข้ามาภายในคฤหาส์น เธอเห็นข้าวของเครื่องใช้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่มีสีสันสวยมาก โดยมีข้าทาสบริวารมากมายซึ่งกำลังทำความสะอาดอันเป็นหน้าที่ของแต่ละคน มีสระน้ำที่ใส่ดังกระจกเงาอยู่กลางบ้านสร้างความรู้สึกชุ่มชื่นให้แก่บ้าน ถัดพอผ่านประตูที่จะทะลุไปด้านนอกมีสวนที่ปลูกต้นไม้เป็นร่มเงา เธอได้กลิ่นหอมของกำยานและควันธูปที่หอมจนเวียนหัว ที่นั้นมีเทวรูปของเทพเจ้า ซึ่งมีใบหน้าเป็นแมว คือ เทวรูปของเทพีบาสท์ เทพีแห่งความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์ ถูกตั้งไว้เสมือนเป็นเทวาลัยซึ่งแสดงได้ว่าเจ้าของบ้านมีฐานะอย่างสูงในสังคม ถึงขนาดสามารถตั้งเทวาลัยย่อมๆของเทพเจ้าที่ตนเองเคารพนับถือได้ภายในบ้านของตนเอง แสดงได้ว่าที่แห่งนี้เป็นบ้านของคหบดี เพราะเทพีบาสท์เป็นที่นิยมเคารพบูชากันในพ่อค้าวาณิชที่มั่งคั่งร่ำรวย คหบดี หรือไม่ก็เศรษฐี พรพิงค์จับมือของเด็กหญิงทั้งสองไว้แน่น พวกเขาเดินผ่านไปจนถึงหน้าบานประตู ชายแก่คนหนึ่งในชุดที่หรูหราเขาไม่ใช่คนอียิปต์เป็นแน่เพราะมีผิวขาวอย่างคนยุโรป และอีกอย่าวเขาไม่โกนผม ชายแก่กำลังนั่งเขียนรายชื่อทาสลงบนแผ่นกระดาษ
ม้วนปาปริรุสอยู่นั้น พ่อค้าทาสก็เข้าไปหาเขา
    "ข้าแต่ท่านหัวหน้า กระผมนำทาสชุดใหม่จากเอธิโอเปียมาแล้วขอรับ"
    ชายแก่เงยหน้าขึ้นมองไปยังทาสผู้ชายกับเด็กหญิงทาสสองคน และแล้วชายแก่นั้นต้องสะดุดเมื่อเห็นพรพิงค์ 
    "และแม่หนูคนนี้เหล่า เป็นใคร เป็นทาสอีกคนหรือ..."
    "ขอรับ แต่เธอคนนี้กระผมขอไว้ขอรับ"
    "เจ้าจะเอานางไว้หรือ ขายไปเถิดอาจจะได้ราคาดี ข้าซื้อต่อจากเจ้าก็ได้"
      พรพิงค์รู้สึกได้ว่าตนเองนั้นเป็นเสมือนสินค้าชิ้นหนึ่ง เธอไม่มองหน้าชายแก่คนนั้นเลย ด้วยความโกรธ 
    "คงมิได้ขอรับ"
     ชายแก่เอาเศษผ้าเล็กๆมาแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงบนเศษผ้านั้น แล้วยื่นให้แก่พ่อค้าทาส
     "แค่นี้พอไหม"
      พ่อค้าทาสตาโตเท่าไข่ห่าน จำนวนมูลค่าที่ชายแก่ให้ช่างสูงเหลือเธอ พ่อค้าจึงตัดสินใจยอมให้พรพิงค์แก่ชายแก่ผู้ที่เขาเรียกว่า หัวหน้า 
     "แม่หนูเธอเป็นของหัวหน้าแล้ว เจ้าจงอย่าเป็นเด็กดื้อเล่า"
      พรพิงค์ไม่ตอบและไม่พูดอะไร เธอคิดเคืองต่อโชคชะตา เธอมาที่นี้เพราะอะไร และเธอมาเป็นอย่างนี้เพราะอะไรกันแน่ 
      "เจ้าจงนำแม่หนูไปอาบน้ำแต่งตัวให้ดี และหาอะไรให้นางกิน แล้วเอานางไปพักไว้ในห้องรับรอง"
    พรพิงค์ถึงกับตะลึงเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ เธอคิดว่าทำไม เธอถูกขายมาเป็นทาส แต่ชายแก่ผู้นี้กลับทำกับเธอเสมือนว่าเธอเป็นแขกคนหนึ่ง จากนั้นสาวใช้ก็เข้ามาแล้วนำพาเธอไปยังสระน้ำถัดเป็นอันเป็นห้องอาบน้ำ เธอถูกดูแลขัดผิวให้แล้วแต่งกายด้วยชุดแบบชาวอียิปต์ที่สวยงาม สาวใช้นำเธอมาพักยังห้องหนึ่งที่มีเตียงและโต๊ะหิน เธอนั่งลงบนเตียงที่ปูนด้วยผ้าที่ยัดนุ่น จากนั้นเด็กหนุ่มคนรับใช้ก็ถือถาดอาหารอันมีผลไม้และเครื่องดื่ม แล้วอาหารที่เป็นประเภทเนื้อย่างกับขนมปังมาวางบนโต๊ะ 
     "ขอบใจจ๊ะ"
     เด็กหนุ่มก้มศีรษะเหมือนเป็นการตอบรับ แล้วเดินออกไปจากห้องที่พรพิงค์อยู่ 
     "ตอนนี้ฉันหลับหรือตื่นอยู่กันแน่?" พรพิงค์ถามตนเอง แล้วเธอก็หยิกที่แก้มเธอ เธอจึงรู้ว่านี้เป็นความจริง เธอไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะกลายเป็นชาวอียิปต์ อาศัยในบ้านแบบอียิปต์ แต่งกายแบบหญิงอียิปต์ และอีกไม่นานเธอก็จะได้รับประทานอาหารเยี่ยงชาวอียิปต์ ซึ่งกลิ่นของอาหารนั้นช่างยั่วยวนใจเธอเสียเหลือเกิน  

    "เชิญทานตามสบายเลยนะแม่หนู" ชายแก่เจ้าของบ้านกล่าวกับพรพิงค์ ซึ่งเขายืนอยู่ที่ข้างประตูห้องของเธอ 
    "คุณตาค่ะมาทานอาหารร่วมกันไหมค่ะ"
    ชายแก่ยิ้มด้วยใบหน้าที่เมตตา "ไม่หรอก แม่หนูทานเถิด"
    พรพิงค์ยิ้มด้วยความเป็นมิตรให้กับชายแก่เจ้าของบ้าน ชายแก่เดินมาและนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งไม่ห่างจากเธอนัก พรพิงค์ไม่เกรงใจแล้วเธอมุ่งทานอาหารอียืปต์ที่แสนจะทานเหล่านี้ด้วยความหิว ชายแก่กล่าวขึ้นว่า
   "ฉันมีกิจการมากมายทั้งสุจริตและทุจริต อย่างการค้าทาสนี้ฉันเองก็รู้อยู่เต็มใจว่ามันผิดต่อศีลธรรม พระเป็นเจ้าคงมิรับฉันอยู่ในสวรรค์หรอก ฉันอายุมากขึ้นทุกที เมียที่รักก็มาตายจากไปเป็นสิบกว่าปี ลูกสาวก็ล้มป่วยร้ายที่รักษาไม่หาย ฉันทราบแก่ใจว่าเป็นบทลงทัณฑ์ของเทพเจ้า   เมื่อคืนก่อนที่เธอมายังที่นี่ เทพีวิฬาร์บาสท์เสด็จมาในความฝันของฉัน พระองค์มีพระประสงค์ว่าหากพบหญิงสาวผู้มาจากแดนไกลมาพร้อมกับคณะทาสจงรับเลี้ยงนางไว้ประดุจบุตรสาวแท้ๆเพื่อเป็นการชดใช้ผลแห่งบาปที่ได้กระทำไว้ ตอนนี้เธอคือหญิงผู้มาจากแดนไกล เธอจะรังเกลียดฉันไหมที่จะยอมเป็นบุตรของฉัน"
     พรพิงค์ตะลึงกับเรื่องเล่าของชายแก่เจ้าของบ้าน เธอรู้อยู่เต็มอกว่านี้คงเป็นแผนการของเทพเจ้าเป็นแน่ เทพวิฬารบาสท์คงปรากฏเข้ามาเล่นเกมส์นี้ด้วยอีกองค์ พรพิงค์แสดงด้วยสีหน้าที่ยินดีพร้อมกับกล่าวว่า
  "หนูมาที่แห่งนี้ไร้ญาติและมิตร หนูขอพึ่งท่านเป็นเสมือนพ่อที่พร้อมจะช่วยเหลือและคุ้มครองหนูให้ปลอดภัยตอนที่หนูอยู่ที่นี้นะค่ะ"
   ชายแก่ลุกขึ้นมานั่งข้างๆพรพิงค์
   "ฉันมีของขวัญจะมอบให้แก่หนู"
    ชายแก่แกะห่อผ้าที่พันอำพรางอะไรบางอย่างเมื่อแกะผ้านั้นออกแล้วปรากฏเข็มกลัดสำริดรูปแมวอียิปต์ประดับอัญมณีเม็ดสีฟ้าอ่อนงดงามเหลือเกิน ดวงตาของแมวนั้นประดับด้วยอัญมณีสีน้ำเงินเหมือนแฝงด้วยพลังอันเร้นลับ
  "นี้มันเป็นเข็มกลัดรูปเทวีวิฬารบาสท์ มันเคยเป็นของลูกสาวผู้ล่วงลับของฉัน แต่ตอนนี้มันจะเป็นของหนู พระเทพีจะคุ้มครองหนูให้ปลอดภัย"
  ชายแก่ติดเข็มกลัดนั่นบนชุดของเธอ แสงแดดจากหน้าต่างส่างส่องทำให้อัญมณีที่ประดับนั้นโดดเด่นงดงาม พรพิงค์ขึ้นมือขึ้นพนมและโน้มศีรษะอย่างอ่อนโยน
  "หนูทำท่าอะไรประหลาดจริง"
  "มันเป็นท่าที่แสดงแทนคำขอบคุณนะค่ะ ที่เมืองของหนูมีประเพณีการขอบคุณด้วยท่าเช่นนี้ คำเรียกว่า ไหว้ ค่ะ จะใช้ต่อผู้ที่ดีกับเรา เช่น ผู้ใหญ่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ "

  "แสดงว่าดินแดนของหนูที่จากมาคงยิ่งใหญ่มีประเพณีและวัฒนธรรมแน่ๆดูจากท่าขอบคุณของหนูที่แสนจะงดงามเช่นนี้ " 
   พรพิงค์สนทนากับชายแก่ซึ่งตอนนี้เธอได้กายเป็นบุตรสาวของเขาไปแล้ว เธอกลายเป็นคุณหนูของบ้านอยู่ท่ามกลางความสุขสบาย มีเหล่าทาสคอยรับใช้เสมือนหญิงสูงศักดิ์ในสังคมสมัยอียิปต์โบราณ เธอสง่างามด้วยความงามที่ไม่เหมือนหญิงใดในอียิปต์ บุตรสาวแห่งคหบดีผู้มั่งคั่งด้วยกิจการค้าขายสินค้าจากเอเชียกลาง และ วัตถุดิบส่งออกทางการเกษตร พรพิงค์เธอพยายามซึมซับวัฒนธรรมของอียิปต์ให้แก่มากที่สุด เช่น การแต่งกายแบบหญิงอียิปต์ การแต่งหน้าแบบอียิปต์ และประเพณีของผู้หญิงอียิปต์ จนเธอเองกลายเป็นกุลสตรีที่เพรียงพร้อมที่หาตัวจับได้ยากยิ่ง  
     กลุ่มควันเมฆม่านหมอกสีขาวบดบังจนมืดมิด เสียงน้ำไหลลงจากที่สูงตลอดดั่งสายฝนที่เทลงจากหลังคา เทพีไอซิสผู้ทรงสง่าเฉิดฉายย่างก้าวผ่านกลุ่มควันหมอกนั้น เมฆหมอกมลายหาบไป ปรากฏสะพานหินปรากฏอยู่เบื้องหน้าสุดปลายของสะพานคือวิหารหินอ่อนที่โอฬารและงดงาม ด้วยพันธ์ไม้ทะเลทราย เช่น ปาล์ม และ ต้นอินทผลัม ระหว่างทรงเดินบนสะพานหินเบื้องล่างคือบึงบัวที่กว้างขว้างล้วงมีใบบัวบดบังจนแทบจะไม่เห็นเงาสะท้อนจากผืนน้ำ ดอกบัวค่อยๆเบินบานอย่างงดงาม กำแพงต้นกกปาริรุสบดบังเป็นเสมือนซุ้มประตูสีเขียว และดอกปาริรุสนั้นงดงามเสมือนลวดลายตกแต่งประตูนั้น ภายในวิหารหอมด้วยดอกไม้กลิ่นหอม และสว่างด้วยแสงเทียนจากดวงประทีปนับร้อยดวงที่ถูกแขวนไว้เสมือนอย่างว่ามันลอยอยู่ด้วยเวทย์มนต์ 
   "เทพีไอซิสเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านทรงเสด็จมายังวิหารแห่งข้า"
      เทพีไอซิสหยุดนิ่งและยิ้มโดยไม่เกรงกลัวเสียงนั้น เพราะเบื้องหน้าค่อยๆปรากฏแสงรัศมีที่งดงามลอยอยู่ท่ามกลางดวงประทีปทั้งหลาย 
   "ข้ามาเพื่อขอบใจเจ้า เทพีวิฬารบาสท์"
    รัศมีนั้นลอยลงสู่พื้นเบื้องล่างและเลืองจนแสงนั้นหายไป ปรากฏร่างของสตรีในชุดผ้าสีฟ้าอ่อนที่งดงามน่ารัก แสดงถึงความเป็นคนที่ไม่กังวลต่อพิธีการ แต่ใบหน้าเป็นแมว เทพีวิฬารบาสท์ เทพีแห่งความมั่งคั่ง นั้นเอง 
   "พระเทพี ข้าอยู่ฝ่ายเดียวกับท่าน ข้าเห็นด้วยกับท่าน องค์ฟาโรห์มีอนาคตที่มืดมนหากองค์ฟาโรห์ได้รับพระชายาอย่างพรพิงค์นี้แล้ว อนาคตพระราชวงศ์จะเกรียงไกร"
  "ข้าขอบใจเจ้าจริงๆ ตอนนี้พรพิงค์นางปลอดภัยภายใต้การดูแลของเจ้า"

  "เมื่อนางยังเป็นบุตรบุญธรรมแห่งพ่อค้าผู้นั้นอำนาจแห่งข้าที่เป็นเทพีแห่งความมั่งคั่งและการค้าขายจะคุ้มครองนางให้พ้นจากพระสุริยเทพราห์"
  "ข้าดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นพันธมิตร"
  "ไม่เป็นไรหรอกท่าน ดูนั้นซิ พรพิงค์..."  ทั้งสองเทพีแห่งสวรรค์มองลงมาเบื้องล่าง  
      พรพิงค์ยืนเกาะขอบระเบียบบนชั้นดาดฟ้าของบ้านมองลงมาเบื้องล่าง พบแต่ความวุ่นวายของประชาชนชาวอียิปต์ที่สัญจรไปมา พรพิงค์มองไปพบว่าทุกคนกำลังเดินทางมุ่งไปสู่วิหารแห่งเทพีวิฬารบาสท์
    "วันนี้ที่แท้เป็นวันงานเฉลิมฉลองเทพีวิฬาร์บาสท์นั้นเอง อยากไปจังเลย"
    "ก็ไปซิลูก"
    "ท่านพ่อ หนูอยากไปดูการแสดงบูชาพระเทพีวิฬาร์บาสท์"
   "ได้ซิ วันนี้ได้ข่าวว่าองค์ฟาโรห์จะทรงเสด็จมาร่วมงานเฉลิมฉลองเทพีท่านด้วย"
    "องค์ฟาโรห์! หนูจะได้พบองค์ฟาโรห์หรือค่ะ ดีจังเลยนับว่าโชคดีจริงๆ"
    "แต่พ่อไม่แน่ใจนะว่าลูกจะได้เห็นพระพักตร์แห่งพระองค์หรือไม่ เพราะลูกอาจถูกมวลชนบดบังเพราะใครๆก็ล้วนอยากพบองค์ฟาโรห์ทั้งนั้น"
  "นั้นซิค่ะ เดี๋ยวหนูขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะค่ะ และหนูขอให้ริญ่าไปเป็นเพื่อนหนูด้วยนะค่ะ"
 "ได้จ๊ะ ขอพรจาพระเทพีให้ลูกพบคู่ครองที่ดี อายุปูนนี้สมควรที่จะมีคู่ครองได้แล้วนะ"
  "หนูคงไม่จำเป็นต้องขอพรจากพระองค์หรอกค่ะ เพราะหนูเชื่อและมั่นใจว่าหนูต้องได้แต่งงานและมีคู่ครองที่ดีที่สุดแน่ๆค่ะ" พรพิงค์มองไปบนท้องฟ้าเหมือนมีนัยบางอย่าง ก็คู่ครองของเธอคือองค์ฟาโรห์ เทพีไอซิสให้เธอมายังที่อิยิปต์โบราณนี้เพื่อมาเป็นราชินีแห่งอียิปต์นี้ 
  "พ่อเชื่อเพราะลูกพ่อสวยเช่นนี้ ชายใดก็ย่อมหมายปองแม้องค์ฟาโรห์อาจพึงพอพระทัยก็เป็นได้ ไปเถิดลูกไปสนุกกับงานเฉลิมฉลองครานี้เถิด"
   พรพิงค์เดินเข้าไปในตัวบ้าน และลงบันไดจนพบกับสาวใช้
   "ริญ่าเราไปงานที่วิหารเทพีวิฬารบาสท์กัน"
  "ได้ค่ะ คุณหนู"
  พรพิงค์และริญ่าสาวใช้ที่รุ่นราวคราวเดียวกัน เดินออกไปพร้อมกัน ท่ามกลางหมู่ชนที่หลั่นไหลไปสู่วิหารแห่งเทพีวิฬารบาสท์  ร้านค้าขายดอกไม้นานาชนิดสีสันสวย เครื่องหอมมากมายถูกนำมาขายตลอดข้างทางที่ไปสู้วิหาร พรพิงค์และริญ่าสาวใช้เข้าเลือกซื้อดอกไม้และเครื่องหอมเพื่อนำไปถวายแด่เทพีวิฬารบาสท์
   "คุณหนูค่ะดอกไม้สีชมพูช่อนี้ช่างสวยจริงๆเลยค่ะ"

    "จริงๆด้วยนั้นแม่ค้าจ๋า ขอดอกไม้นี้ 2 ช่อ เครื่องหอม 2 ชุดจ๊ะ"
    "หนูจ๊ะ แม่หญิง ดอกไม้และเครื่องหอม"
   "ขอบคุณจ๊ะ"
   พรพิงค์กับริญ่าสาวใช้เดินออกมาจากร้านค้ามุ่งไปยังวิหาร และแล้วชายร่างใหญ่ในชุดทหารแบบอียิปต์โบราณก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับตระโกนว่า 
   "พ่อแม่พี่น้องโปรดหลีกทางด้วย...ขบวนเสด็จองค์ฟาโรห์กำลังผ่านมา โปรดช่วยหลีกทางด้วย"
  "อะไรนะองค์ฟาโรห์จะเสด็จมาแล้วเหรอ" พรพิงค์กล่าว
  ผู้คนที่เดินเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่นกลับแหวกทางและทุกคนล้วนนั่งลงกับพื้นอย่างตั้งใจ แสงสีทองที่เรืองรองมาแต่ไกล คือ ราชรถทองคำขององค์ฟาโรห์ ควันตลบของเม็ดทรายจากม้าฝีเท้าดัง ราชรถทองคำนั่งขับผ่านผู้ชนทุกคนล้วนจ้องมององค์ฟาโรห์เจ้าเหนือหัวของพวกเขา ทายาทแห่งเทพฮอรัสโอรสแห่งสวรรค์ พระพักตร์อันคมเข้มใบหน้าเกลียงเกาเหมือนหนุ่มน้อยที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กษัตริย์หนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผิวสีเข้มสวมเครื่องรางฟาโรห์แบบนักรบ คือ ไม่ทรงชุดผ้าคลุ่มพระวรกาย จนเห็นเนื้อหนังและกล้ามเนื้อที่งดงาม พรพิงค์ถึงกับอึ้งภาพขององค์ฟาโรห์หนุ่มที่ช่างงดงามเหมือนองค์เทพเจ้าที่เสด็จลงมายังพื้นพิภพ ราชรถทองคำมุ่งสู่วิหาร ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนและดำไปด้วยมหาชนกลับกลายเป็นเส้นทางสีขาวดังทางช้างเผือกบนสรวงสวรรค์ เสมือนว่าราชรถทองคำเหาะอยู่ท่ามกลางถนนสีขาวสะอาดตา 
    พรพิงค์คิดเพียงว่า องค์ราโรห์พระองค์นี้หรือที่เทพีไอซิสกังวลนักกังวลหนาให้เธอมาที่นี้เพื่อช่วยเหลือ ในใจของพรพิงค์รู้สึกตื่นเต้นเธอสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจที่รุนแรง เธอเหมือนรู้สึกว่า เธอเกิดความรักขึ้นแล้ว กามเทพได้ส่งศรรักมาต้องที่เธอแล้ว ภาพของฟาโรห์หนุ่มยังประทับอยู่ในดวงใจของเธอ ใบหน้าของกษัตริย์หนุ่มนั้นติดตาเธอไม่เรืองราง 
  "ในที่สุดพรพิงค์ก็ได้พบกับองค์ฟาโรห์..." เทพีวิฬารบาสท์
  "คอยดู ข้าจะทำให้องค์ฟาโรห์ได้เจอกับนาง และรักนาง" เทพีไอซิส
  "ข้าขอช่วยเหลือท่านด้วย
  "แต่ข้าว่าคงไม่ไม่ง่ายเสียแล้ว ดูนั้น"
  ภาพเบื้องหน้าคือ สุริยเทพราห์ประทับอยู่บนบังลังก์ทองคำท่ามกลางหมู่หมอกเมฆ 
  "ฟาโรห์จะไม่สามารถพบเจอนางได้ ไอซิสจงคอยดู"
  "ข้าไม่ยอมแพ้ท่านหรอก"
    สุริยเทพราห์หายไปท่ามกลางควันหมู่เมฆ พระองค์ทรงประทับยังในวิหารเบื้องล่าง นักบวชชายมากมายเดินจุดกำยานในวิหารแห่งสุริยเทพราห์ นักบวชชายอาวุโสที่สุดเดินด้วยไม้เท้าผ่านกลุ่มนักบวชล้วนก้มศีรษะเพื่อเป็นการทำความเคารพ ที่แท้ท่านคือ ราชครู พระประมุขแห่งศาสนจักร หรืออาจได้ว่าเทียบเท่าสังฆราช เพราะเป็นผู้เป็นใหญ่ฝ่ายศาสนา และแล้วทันใดนั้นเมื่อพระราชครูทรงขึ้นยังแท่นบูชาเพื่อสวดมนต์บูชาสุริยเทพราห์ ตอนนั้นเองสุริยเทพราห์ในรูปกายทิพย์ที่ไม่มีใครเห็นได้ ปรากฏขึ้นข้างๆพระราชครูพร้อมกับกระซิบที่ข้างพระราชครูว่า  "การบำเพ็ญพระราชกุศลแห่งองค์ฟาโรห์ที่เสด็จไปยังวิหารแห่งเทพีวิฬารบาสท์นั้น ห้ามให้สตรีล่วงเข้าไปในวิหารจนกว่าพระองค์จะกระทำพระราชพิธีบูชาสักการะสำเร็จ เพราะปีศาจร้ายจะแฝงมาในร่างของสตรี "  
    " ไม่ได้เสียแล้ว สุริยเทพราห์ทรงส่งพระสุรเสียงมาแจ้งข้าว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นกับองค์ฟาโรห์ ข้าต้องไปยังวิหารเทพีวิฬารบาสท์โดยเร็วที่สุด "
   พระราชครูได้ยินเสียงแห่งสุริยเทพราห์ดังนั้นก็รีบนั่งบนรถม้าโดยให้ทาสรับใช้เทียมรถไปยังวิหารเทพีวิฬารบาสท์อย่างเร่งรีบ เพราะพระราชครูเป็นนักบวชที่มีจิตเก่งเกร่งพอสมควร ท่านถูกให้ความสำคัญจากราชสำนัก เพราะทรงมีความสามารถในการรับสารจากเทพเจ้าได้ สุริย เทพราห์ทรงเข้ามาขัดขวางการพบครั้งแรกของพรพิงค์กับองค์ฟาโรห์ เทพีไอซิส และ เทพีวิฬารบาสท์จะทำอย่างไรต่อไป ท่าทีสุริยเทพราห์จะไม่ยอมปล่อยให้แผนการของเทพีไอซิสราบรื่นเป็นแน่ 

 พระราชครูผู้ทรงศักดิ์ประทับรถม้าออกจากพระวิหารหลวงแห่งสุริยเทพราห์ มุ่งไปสู่วิหารวิฬารเทวีบาสท์ทันทีหลังจากได้รับสารสุรเสียงจากองค์สุริยเทพราห์ 
    "เจ้าทาส...เจ้าจงรีบเร่งฝีกีบม้าของข้าโดยเร็วที่สุดข้าต้องทนองค์ฟาโรห์ให้ได้ หากข้าไม่ทันองค์ฟาโรห์และเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับพระองค์ข้าจะสั่งประหารชีวิตเจ้าและครอบครัวของเจ้า"
  "ขอรับท่านพระราชครู..." 
   เจ้าทาสผู้เป็นสารถีมีชีวิตตนเองและครอบครัวเป็นเดิมพัน รถเทียมม้าเร่งออกไปอย่างนรวดเร็ว ระยะทางระหว่างวิหารหลวงกับวิหารวิฬารเทพีบาสท์นั้นห่างกันพอสมควร แต่ด้วยความกลัวของทาสซึ่งถูกกดดันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะเร่งให้ม้าวิ่งไปให้เร็วที่สุด แต่แล้วอยู่ๆก็ปรากฏรัศมีแห่งความอำมหิตขึ้นเป็นเสมือนวงแหวนหรืออุโมงค์อันมืดทมิฬ 
  "เจ้าทาสหยุด......ไว้รังษีนั้นข้าสัมผัสได้ถึงความเลวร้าย.....อย่าเข้าไป....."
   แต่ไม่ทันเสียแล้วม้าตื่นเกินความควบคุมของสารถี รถม้าพุ่งเข้าไปในรังษีนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อรถม้านั้นหลงเข้าไปในรังษีอันดำมืดนั้นแล้วรังษีนั้นก็จางหายไป ภายในพระวิหารหลวงเงาดำแห่งความเลวร้ายค่อยก่อตัวขึ้น ร่างอันสูงผอมโปร่งแต่แลดูอ่อนแอเป็นร่างมนุษย์สีดำสนิท ดวงตาสีแดงชาดดั่งเลือด นั้นคือ อธรรมเทพเซ็ต ปรากฏกายขึ้น

   "ข้าช่วยส่งมันไปวิหารนางแมวนั้น เป็นอย่างไรเล่าเร็วทันใจไม่หรือ....ฮา...ฮา....ฮา......"
  เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ดังขึ้นอย่างสะใจ และแล้วร่างของอธรรมเทพเซ็ตก็หายวับไปจากพระวิหารหลวง 
   รถม้าของพระราชครูมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าวิหารวิฬารเทพีบาสท์ท่ามกลางความตื่นตะลึกของมหาชน 
  "นั้นท่านพระราชครูนี้...." เสียงจากมหาชน
  "องค์ฟาโรห์....องค์ฟาโรห์อยู่ที่ไหน พวกเจ้าข้ามาเพื่อเข้าเฝ้าฯองค์ฟาโรห์"
  "ข้าแต่องค์พระราชครู องค์ฟาโรห์กำลังจกมาถึงวิหารอีกไม่นานพ่ะย่ะค่ะ" นักบวชแห่งวิฬารตอบ
  "เจ้านักบวชแห่งวิหารนี้โปรดฟังจากคำสั่งของข้า ข้าได้รับสารจากองค์สุริยเทพราห์ พระองค์ทรงแจ้งแก่ข้าว่า องค์ฟาโรห์จะไม่ปลอดภัย ปีศาจร้ายคิดปองร้ายจะแฝงกายมาให้ร่างของสตรี เจ้าจงห้ามสตรีนางใดล่วงเข้าไปในวิหาร ระหว่างที่องค์ฟาโรห์ประกอบพระราชพิธีกรรมบูชาพระเทพีเจ้า"
  "ที่แท้เป็นเช่นนี้ ขอบพระทัยพระราชครูที่ทรงเมตตาปกป้ององค์ฟาโรห์ ข้าน้อยจะจัดการตามคำสั่งของพระองค์ "
  "ข้าจะขอร่วมพิธีนี้ด้วยกับองค์ฟาโรห์"
  "เช่นนั้นเชิญพระราชครูประทับยังอาสนะรอองค์ฟาโรห์เสียก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
  พระราชครูย่างลงจากรถม้าโดยทาสผู้เป็นสารถีนั้นก้มหลังให้ท่านเหยียบลงจากรถม้าลงสู่พื้นอย่างดี 
  "ชีวิตของเจ้าและครอบครัวของเจ้าปลอดภัยแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจนะว่ารังษีอำมหิตนั้นเป็นด้วยพลังแห่งเทพหรือปีศาจร้าย"
  "เป็นพระคุณยิ่งพระราชครูที่ทรงเมตตา"
  พระราชครูเดินไปพร้อมคณะนักบวชแห่งวิหารวิฬารเทพีบาสท์อย่างสมเกียรติพระราชครูแห่งวิหารหลวง 
   นักบวชกลุ่มหนึ่งแยกออกมาและตรงไปยังหน้าพระวิหารพร้อมทั้งติดใบประกาศว่า 
   "ขณะที่องค์ฟาโรห์ประกอบพิธีบูชาวิฬารเทพีบาสท์ห้ามผู้ศรัทธาเข้าไปในวิหารเด็ดขาดจนกว่าองค์ฟาโรห์จะประกอบพิธีสำเร็จ"
     ประชาชนทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ เพราะไม่ใช่มีองค์ฟาโรห์พระองค์ใดห้ามประชาชนเข้าร่วมประกอบพิธีบูชาพระเทพีเช่นนี้ จึงกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว จนนักบวชผู้ใหญ่แห่งวิหารต้องออกมากล่าวว่า 
  "ด้วยความปลอดภัยแห่งองค์ฟาโรห์จึงต้องทำเช่นนี้ พระราชครูทรงมีรับสั่งมาว่าพระองค์ทรงได้ยินสารจากสุริยเทพราห์ว่า ปีศาจร้ายคิดปองร้ายองค์ฟาโรห์และปีศาจร้ายนั้นจะแฝงมาในร่างของผู้หญิง ทางวิหารเราจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ และขออภัยต่อพ่อแม่พี่น้อง ผู้ศรัทธาในองค์พระเทพีเจ้าด้วย"

   มหาชนเงียบลงหลังจากหัวหน้านักบวชแห่งวิหารกล่าว และแล้ว 
   "องค์ฟาโรห์เสด็จมาถึงแล้ว....ขอพ่อแม่ผู้น้องอยู่ในความสงบ"
    มหาชนทั้งหลายล้วนเงียบสนิทอย่างพร้อมใจกัน แววตาของพวกเขาทั้งหลายล้วนเต็มประกายแห่งความสุขเพราะอีกไม่นานสิ่งที่พวกเขารอคอยก็มาถึง คือ การเสด็จมาขององค์ฟาโรห์หนุ่มนั้นเอง ราชรถทองคำเทียบยังบันไดขั้นแรกของวิหาร องค์ฟาโรห์ลงจากราชรถ พระองค์ยืนนิ่งและมองไปรอบๆ พระองค์เห็นประชาชนของพระองค์จำนวนมากนิ่งเฉย ทุกสายตาล้วนจ้องมายังพระองค์เสมือนตอนนี้พระองค์เป็นเพียงเป้านิ่ง 
  "เป็นเช่นไรบ้างประชาชนชาวอียิปต์...วันนี้เป็นวันดีเป็นวันมงคลฤกษ์แห่งวิฬารเทพี เทพีแห่งความมั่งคั่ง ข้าจะขอพรจากพระเทพีเจ้าทรงประทานความมั่งคั่ง และ ความสันติสุขแก่อียิปต์"
  รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทุกคน องค์ฟาโรห์ยิ้มด้วยความอิ่มเปรมใจ พระองค์โบกพระหัตถ์ให้กับประชาชน 
"ขอพระองค์ทรงพระเจริญ....ขอพระองค์ทรงพระเจริญ........ขอพระองค์ทรงพระเจริญ....."
   เสียงสรรเสิรญจากประชาชนดังไม่ยอมหยุดจนองค์ฟาโรห์หนุ่มโบกพระหัตถ์เสร็จแล้วก้าวขึ้นสู่วิหาร พระราชครูออกมาต้อนรับ
  "พระราชครู เหตุใดท่านจึงมาที่นี้ได้เล่า"
  "หม่อมฉันมาเพื่อคุ้มครองพระองค์ท่านพระเจ้าค่า"
  "เป็นธุระของท่านแล้วขอรับ ท่านพระราชครู"
    องค์ฟาโรห์ประคองพระราชครูเข้าไปในวิหาร ด้วยพระราชครูชราภาพมากแล้ว และองค์ฟาโรห์หนุ่มอ่อนโน้มต่อพระราชครูเพราะ พระราชครูพระองค์นี้ทรงช่วยเหลือและปกป้ององค์ราโรห์มาตั้งแต่พระองค์จำความได้ เพราะพระองค์ทรงถูกปองร้ายมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นเจ้าชายน้อย และพระราชครูเป็นผู้ใหญ่คนเดียวในราชสำนักที่องค์ฟาโรห์หนุ่มเคารพที่สุดรองจากพระราชมารดาหรือพระพันปีที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีอีกเพราะญาติพี่น้องของท่านจ้องที่จะปองชีพพระองค์กันทั้งนั้น พระองค์ทรงอยู่ด้วยความหวาดกลัวมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่มีเพียงพระราชครูที่มักเข้ามาในตอนที่พระองค์ตกอยู่ในที่นั่งลำบากตลอด
   องค์ฟาโรห์ย่างก้าวเข้าสู่พระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เหล่าแมวทั้งหลายเดินไปมาในวิหารต่างส่งเสียงของมันเสมือนกำลังสรรเสริญองค์ฟาโรห์ 

  "ฝ่าบาท แมวเหมียวน้อยน่ารักเหล่านี้เป็นบริวารแห่งวิฬารเทพีบาสท์ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้วที่เรานับถือพระเทพีพระองค์นี้ แมวเหมียวเหล่านี้จึงถูกเลื่อนจากสัตว์เลี้ยงธรรมดามาเป็นสัตว์แห่งเทพไปโดยปริยายพระเจ้าค่า "
   "เพราะอย่างนี้ซิ ข้าจึงชอบที่จะมาที่วิหารแห่งนี้ มันแลดูมีชีวิตชีวา และข้าก็ได้รับกับเจ้าแมวเหล่านี้ด้วย" และแล้วองค์ฟาโรห์ก็ก้มพระองค์ลงแล้วเรียกแมวตัวสีขาว ดวงตาสีฟ้าใสสะอาดดุจท้องฟ้าที่ปราศจากก้อนเมฆเข้ามา มันก็เข้ามาหาพระองค์มาเค้าเคลียที่ขาขององค์ฟาโรห์ และองค์ฟาโรห์ทรงอุ้มมันขึ้นมา แมวนั้นก็เลียยังที่กล้ามแขนขององค์ฟาโรห์แล้วมันก็ลืมตาเหมือนจะหลับ
  "แมวประหลาดตัวนี้ คงดูตั้งให้เป็นแมวพญาแห่งวิหารนี้เป็นแน่ฝ่าบาท มันมีความประหลาดไม่เหมือนแมวทั่วไป"
  "เป็นไปได้เหมือนท่านพระราชครูว่าแมวตัวนี้จะเป็นพระเทพีจำแลงกายมา"
  "ก็ไม่แน่ฝ่าบาท ฝ่าบาทเราสายมากและทรงรีบเข้าประกอบพิธีบรวงสรวงวิฬารเทพีเถิด"
  "จริงของท่าน" องค์ฟาโรห์วางแมวประหลาดนั้นลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล แต่แมวนั้นกลับไปห่างจากพระองค์ไปไหนเลย 
  ด้านในสุดของวิหารปรากฏเทวรูปของวิฬารเทพีบาสท์สูงใหญ่จนทติดคานของวิหาร กลุ่มนักบวชเริ่มจุดดวงประทีปจำนวนมากเบื้องล่างฐานของเทวรูป และจุดกำยานเผาไม้หอมลงในเตาไฟ ควันนั้นก็ล่องลอยไปทั่วบริเวณ แท่นบูชาเต็มไปด้วยผลไม้นานาพันธุ์ เครื่องดื่มมึนเมา และสิ่งที่เชื่อว่าวิฬารเทพีบาสท์ชื่นชอบคือ ดอกไม้สวยๆหลากสีนานาพันธุ์ที่ถูกปักจนเต็มแจกันดินเผาอย่างอลังการ องค์ฟาโรห์หยุดยืนหน้าแท่นบูชา 
   "ฝ่าบาททรงอธิษฐานขอพรต่อพระเทพีเจ้าเถิดพระเจ้าค่า"
  องค์ฟาโรห์ชูมือขึ้นไปเบื้องหน้าและแบพระหหัตถ์เสมือนมีนัยว่าเป็นการขอต่อพระเทพีเจ้า 
  "ข้าแต่พระแม่วิฬารเทพีบาสท์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย ท่านเป็นที่เคารพบูชาในหมู่วาณิชทั้งหลาย ขอพระแม่ทรงเมตตากรุณาประทานอันศักดิ์สิทธิ์ให้อาณาจักรอียิปต์จงมั่งคั่งร่ำรวยค้าขายระหว่างประเทศประสบความสำเร็จ พสกนิกรชาวอียิปต์มีความสุขความเจริญ และพระแม่ตามเทวตำนานทรงเป็นเทพีผู้ขจัดปีศาจพญางูร้ายอะโปพิส ศัตรูแห่งองค์สุริยเทพราห์ ขอพระองค์โปรดเมตตาข้าพเจ้าผู้เป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์ ข้าบารมีแห่งพระแม่วิฬารเทพีบาสท์จงพิทักษ์รักษาข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากผู้คิดปองร้าย ทั้งมนุษย์และปีศาจร้ายจนมลายสิ้นไปด้วยพลังแห่งพระแม่เจ้าด้วยเถิด"
  นักบวชรูปหนึ่งเดินเข้ามาข้างองค์ฟาโรห์พร้อมรูปปั้นแมวดินเผามอบให้แก่องค์ฟาโรห์ 
   "ฝ่าบาททรงถวายแมวดินเผานี้เพื่อเป็นการบูชาพระเทพีเจ้าเถิดพระเจ้าค่า" พระราชครูกล่าว

   องค์ฟาโรห์รับแมวดินเผานั้นไว้แล้วนำไปวางยังฐานแทบพระบาทของวิฬารเทพีบาสท์ พระองค์ทรงมองยังพระพักตร์ของเทวรูปด้วยความหวังว่าพรที่พระองค์ทรงขอไปนั้นจะสัมฤทธิ์ผลต่อพระองค์และอาณาจักรแห่งพระองค์
    องค์ฟาโรห์ออกจากวิหารแห่งนี้ แต่แมวประหลาดนั้นไม่ยอมห่างจากพระองค์เลย 
   "ฝ่าบาทสงสัยแมวประหลาดตัวนี้จะติดฝ่าบาท หม่อมฉันว่ามันคงเป็นประสงค์แห่งพระเทพีเจ้า เมื่อมันเป็นบริวารแห่งพระแม่วิฬารเทพีบาสท์แน่แท้ มันจะคุ้มครองฝ่าบาทให้ปลอดภัยจากคนที่คิดปองร้ายแน่พระเจ้าค่า"
   องค์ฟาโรห์อุ้มแมวประหลาดนั้นขึ้นมา
   "เจ้าแมวน้อย พระเทพีเจ้าทรงส่งเจ้ามาเพื่อคุ้มครองข้าใช่ไหม"
   และแล้วแววตาของแมวประหลาดนั้นก็เปล่งแสงออกมา องค์ฟาโรห์สบตาแมวประหลาดนั้น เสียงหนึ่งก็ปรากฏในการรับรู้ในจิตขององค์ฟาโรห์ว่า
   "ข้าพเจ้าคือบริวารหัวหน้าแห่งแมวทั้งปวงภายใต้บารมีพระแม่เจ้า ข้าพเจ้าได้รับเทวโองการจากพระแม่เจ้าให้มาคุ้มครองท่านทายาทแห่งโอรสสวรรค์ฮอรัส "     
  องค์ฟาโรห์ตะลึงพอดูอีกทีแมวนั้นก็เป็นปกติ พระองค์คิดว่าสงสัยจะคิดมากไป แมวก็เป็นแมวอยู่วันยังค่ำ พระองค์ประคองแมวนั้นไว้ในอ้อมอกอย่างนุ่มนวล พระราชครูลูบที่หัวของมัน 
   "ขอเจ้าแมวน้อยนี้อาจเป็นแมวที่อาบไอพลังแห่งพระเทพีเจ้ามามาก มันอาจจะมีพลังอันเร้นลับบางอย่างที่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้นะฝ่าบาท"
  "ข้าสัมผสได้พระราชครู ข้าจะเลี้ยงดูแลมัน ถือว่าเป็นของขวัญจากวิฬารเทพีบาสท์" แต่แล้วแมวประหลาดก็กลับดิ้นเกาะขึ้นที่ไหล่ขององค์ฟาโรห์มันโดดลงไปยังเบื้องล่าง มันหันไปมองยังเทวรูปวิฬารเทพีบาสท์ 
  "ซาร์เจ้าจงนำฟาโรห์ไปยังพรพิงค์ แม่หญิงผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่หน้าวิหาร เจ้าคงรู้จักนางดี เพราะนางมากราบบูชาข้านี้อยู่เป็นประจำ"
  แมวประหลาดขานเสียงแมวรับคำบัญชาจากพระสุรเสียงของพระเทพีเจ้า มีเพียงมันเท่านั้นที่ได้จริงพระเทพีเจ้าผู้เป็นเจ้านาย แล้วมันก็เดินออกจากวิหารนำหน้าฟาโรห์ออกไป องค์ฟาโรห์เห็นดังนั้น 
  "เจ้าแมวน้อย เจ้าหนีข้าไปไหน กลับมา" พระองค์เดินวิ่งตามมันไป 
   "พวกเจ้าช่วยกันจับแมวนั้นเร็ว" พระราชครูสั่งเหล่านักบวชแห่งวิหาร เหล่านักบวชนั้นวิ่งตามจับแมวที่มันช่างปราดเปรียวเหลือเกินจึงไม่อาจจะจับทันได้ จนในที่สุดมันหลุดออกจากวิหาร 
  "ฝ่าบาทไม่ต้องนำแมวนั้นกลับวังหรอกพระเจ้าค่า"

  "ไม่ได้หรอกพระราชครู มันคือของขวัญที่วิฬารเทพีบาสท์มอบให้แก่ข้าแล้ว เจ้าแมวมานี้เร็วมาหาข้า..."
    องค์ฟาโรห์ออกมานอกวิหารเพื่อตามจับแมวประหลาดนั้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าของพระองค์ คือ ประชาชนก้มน้อมเคารพแมวน้อยตัวนั้น ตามธรรมเนียมอียิปต์ที่จะเคารพแมวแห่งวิหารวิฬารเทพีบาสท์เสมือนเหมือนเคารพในตัวพระเทพีเจ้า และแมวเหมียวนั้นก็อยู่ในอ้อมกอดของพรพิงค์ แมวนิ่งสงบและแกว่งหางไปมาอย่างเป็นสุขมันแนบหัวของมันไปกับอกของนางอย่างน่ารัก องค์ฟาโรห์ถึงกับอึ้งไปเมื่อพบพรพิงค์ ความรู้สึกของพระองค์เสมือนตกอยู่ในห้วงของความรัก สงสัยกามเทพคงแผลงศรรักมาต้องพระองค์เสียแล้ว แต่ด้วยความเป็นชาติขัตติยะจึงมิอาจจะแสดงอาการมาออกมาได้ 
   "แม่หญิงพรพิงค์เจ้าจงมอบแมวนั้นแด่องค์ฟาโรห์เสีย" หัวหน้านักบวชแห่งวิหารกล่าว
   "เจ้าค่ะ พระคุณเจ้า มันมาหาดิฉันเอง ดิฉันหวังเพียงช่วยจับมันไว้ให้ค่ะ" พรพิงค์ยกแมวนั้นคืนให้กับหัวหน้านักบวช 
   "ไม่เป็นหรอกแม่นาง ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยจับแมวของข้าให้" องค์ฟาโรห์กล่าวขอบใจพรพิงค์ด้วยความตื่นเต้น
   "ขอพระองค์ทรงพระเจริญเพคะ" พรพิงค์กล่าวกลับ
   องค์ฟาโรห์ยิ้มด้วยความปิติในใจ พระราชครูเข้ามาใกล้
   "องค์ฟาโรห์เสด็จกลับวังเถิดพระเจ้าค่า"
   "ข้าลาก่อนแม่นาง"
   พรพิงค์ก้มศีรษะเป็นการแสดงความเคารพอันสูงสุด องค์ฟาโรห์หนุ่มกอดแมวนั้นไว้ตลอดจนเสด็จประทับยังราชรถจนราชรถนั้นแล่นไป พระองค์แข็งใจไม่กล้ามองหน้านางจนราชรถแล่นไปไกลพอสมควรจึงหันไปมอง แต่ฝูงชนก็บดบังนางไปเสียแล้ว องค์ฟาโรห์มาความสุขเป็นล้นพ้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ความรักบังเกิดขึ้นในใจของพระองค์เสียแล้ว 
  "นางช่างงามเหนือนางใดในอาณาจักรของข้าที่เคยเจอ ข้าหลงรักนางเสียแล้ว"
   พระราชครูยังมิได้ตามเสด็จ กลับมาสนทนากับหัวหน้านักบวชและถามไถ่ถึงข้อมูลของพรพิงค์ 
  "นางคือใคร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร?"
  "นางเป็นบุตรีบุญธรรมของเศรษฐีวาณิชเชื้อสายเอเชียกลางที่มั่งคั่งในแถบนี้ แต่ข้อมูลความเป็นมาของนางหรือครอบครัวแท้ของนางนั้นเป็นใครมาจากอันนี้ทางเราไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ พระราชครู"
  "ถือว่านางเป็นคนชนชั้นคหบดี ใช้ได้ ข้านึกเสียว่านางเป็นนางทาส นางไพร่ที่ไหน มันไม่เหมาะสมกับองค์ฟาโรห์ แต่ข้าเริ่มที่จะรู้จักกับเศรษฐีพ่อบุญธรรมของนางเสียแล้ว"

   พระราชครูรู้ใจองค์ฟาโรห์ว่า พระองค์ทรงรักพรพิงค์แล้ว แต่พระองค์ไม่แน่ใจว่าจะดีไหมที่ฟาโรห์จะรับนางมาเป็นชายา เพราะประวัติของนางเลื่อนลอยเหลือเกิน ไม่รู้ที่มาที่ไป และมิใช่ชนชั้นขุนนางจะผิดต่อกฎมณเฑียรบาลหรือไม่เท่านั้น และองค์ฟาโรห์ทรงมีพระคู่หมั้นเป็นพระญาติที่มีสายตระกูลที่สนิทกันอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากราชวงศ์เดิมของราชสำนักคงเป็นเรื่องยาก อีกอย่างพระราชครูเชื่ออย่างสุดใจในพระสุรเสียงแห่งพระสุริยเทพราห์ว่า ที่ทรงห้ามมิให้สตรีเข้าไปในวิหารเพราะปีศาจจะแฝงมาในร่างของสตรี ไม่แน่นางอาจจะเป็นแผนของปีศาจร้ายก็เป็นได้ 
 บนแดนสรวงสวรรค์แห่งไอยคุปต์โบราณ เทพีไอซิสประทับบนพระแท่นศิลาสีเหลืองสลักด้วยลวดลายอักษรอียิปต์ ภายในวิหารที่สว่างดังทองคำ วิฬารเทพีบาสท์พร้อมด้วยเทพีพระขนิษฐาเนปทีนเข้ามายังที่ประทับแห่งพระเทพี 
    "ข้าแต่องค์เทพี ข้าได้มอบหมายให้เทพบริวารแมวของข้าไปคุ้มครององค์ฟาโรห์เป็นที่เรียบร้อย "
   "พระพี่นางแห่งข้า เมื่อสักครู่ด้วยความปราดเปรื่องแห่งวิฬารเทพีบาสท์ เจ้าแมวนั้นทำให้องค์ฟาโรห์กับพรพิงค์ได้พบเจอกันแล้ว"
  "เช่นนั้นหรือ เราต้องขอบใจวิฬารเทพีบาสท์มาก ช่างมีน้ำใจต่อเราเสียจริง"
  "ไม่เป็นอันใดหรอก พระเทพีเจ้า ตอนนี้บนแดนสรวงสวรรค์นี้ต่างก็แบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย ข้าเลือกฝ่ายท่านพระเทพี องค์สุริยเทพราห์หมู่นี้ไม่รู้เป็นอันใดพระองค์ทรงไร้ความเมตตาผิดกับในอดีตกาลครั้งที่พระองค์ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอียิปต์ ข้าไม่เข้าใจเลย"
   "ท่านทรงพระทัยร้ายต่อลูกหลานแห่งข้า ลูกหลานแห่งโอรสข้า ข้าไม่อยากให้องค์ฟาโรห์หนุ่มต้องพบเจอกับความหายนะเหมือนอดีตองค์ฟาโรห์รัชกาลก่อน แม่หนูพรพิงค์เป็นความหวังของข้าว่าองค์ฟาโรห์จะปลอดภัยจากความชั่วร้ายแห่งจิตใจมนุษย์ที่มีกิเลสไม่ต่างจากปีศาจที่ต่ำทราม"
   "พระพี่นางอย่างไรตอนนี้หมากของเรารุกล้ำหน้าสุริยเทพราห์แล้วนะเพคะ"
   "จงอย่าประมาทไป ตอนนี้เราเหนือกว่าก็จริง ครั้งหน้าเราอาจจะเสียท่า เราต้องระมัดระวังขึ้น"
  พระพักตร์แห่งเทพีไอซิสมีแต่ความกังวลเสียมากกว่าความดีใจ พันธมิตรฝ่ายพระเทพีมีไม่มากนัก จะสู้พลังอำนาจสุริยเทพราห์ได้ไฉน ถึงแม้เทพีทั้งหลายบนแดนสรวงสวรรค์ล้วนเข้าเป็นพันธมิตรกับพระเทพีก็จริงอยู่ แต่อย่างไรเสียสุริยเทพราห์ทรงฤทธานุภาพที่สุดในบรรดาเทพยดาด้วยกันเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย แต่เพียงเรื่องนี้ไม่น่าทำให้พระเทพีเจ้าหวั่นไหวได้ แต่เป็นเรื่องครอบครัวของพรพิงค์ทางโลกยุคปัจจุบันเสียมากกว่า 
    ครอบครัวของพรพิงค์เป็นเวลาเกือบ 1 ปี แล้วที่พรพิงค์หายตัวไป แม้จะแจ้งความหรือให้ตามสมาคมมูลนิธิต่างๆช่วยกันหาก็กลับไร้ร่องรอย ภัทรวินดูแลแม่ที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่ยอมทานอาหารเลยมานานหลายเดือนจนร่างกายซูบผอม แต่ก็อยู่รอดมาได้เพราะอาหารเสริมและยาที่แพทย์จัดไว้ให้ ส่วยผู้เป็นพ่อต้องอดทนเข้มแข็งเพราะจะเสียใจไปก็เท่านั้น จึงทำได้ใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่ก็แอบมีบ้างที่คิดถึงลูกสาวที่รัก ภัทรวินผู้เป็นพี่ชายกลายเป็นคนที่มีแผลในใจมาโดยตลอดเพราะน้องสาวผ่านไปต่อหน้าต่อตาจากเหตุการณ์นั้น ภัทรวินภาวนาและอธิษฐานเสมอขอให้พรพิงค์กลับมาบ้านเสียทีสงสารแม่เพราะล้มป่วยมานานจะได้ฟื้นตัวเสียที ทางด้านเพื่อนสาวกัญญาถึงวันรับปริญญาแล้ว แต่เธอก็เศร้าใจเมื่อไร้เพื่อนรักที่สนิทอย่างพรพิงค์ เธอมักไปแวะเยี่ยมครอบครัวของพรพิงค์เท่าที่จะมีเวลาได้ แต่คนที่กัญญาห่วงใยมากที่สุดในเวลานี้คือ พี่ภัทรวิน ชายหนุ่มที่เธอแอบหลงรัก กัญญาเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ชำนาญการพิเศษในพิพิธภัณฑ์กลาง ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานหมุนเวียนของวัตถุโบราณจากทุกมุมของโลก พอที่นี้จัดนิทรรศการเกี่ยวกับอียิปต์เธอจะคิดถึงพรพิงค์มาก เพราะพรพิงค์เพื่อนรักของเธอรักและหลงในความเป็นอียิปต์มาก แต่ในตอนนี้เธอเพียงแต่หาความลับจากพลังเร้นลับ  เช่น การทำนายดวง เธอมักจะถามกับเหล่าหมอดูเสมอว่า พรพิงค์อยู่ที่ไหนและอยู่หรือตาย เช่นนี้เสมอ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่มักได้คำตอบกลับมาว่า พรพิงค์ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าพรพิงค์นั้นอยู่ที่ไหน ทางบ้านของพรพิงค์ผู้เป็นแม่จะตื่นมาใส่บาตรด้วยไข่ตื่น แกงเขียวหวานปลากราย และข้าวเหนียวสังขยาของโปรดของพรพิงค์เสมอ และทำบุญทำทานบ้างเล็กน้อย ไหว้พระกราบพระทุกคืนอธิษฐานระลึกให้ลูกรักกลับมาสู่อ้อมอกเสมออย่างน่าสงสาร
      เทพีไอซิสจึงทรงเสียพระทัยว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้นถูกหรือผิดกันแน่ หรือเธอจะให้พรพิงค์เดินทางกลับบ้านของเธอ เพราะอย่างไรเสียมันคงเป็นเรื่องที่ยากที่จะชนะสุริยเทพราห์ หรือไม่อาจมีภัยมาถึงพรพิงค์ด้วยในภายหลัง 
     "ไอซิสอย่างได้น่าใจไปเลย" เสียงของหญิงสาวปรากฏขึ้นอย่างไร้ร่างของเจ้าขายเสียง 
      เทพีไอซิส เนปทิส และวิฬารเทพีบาสท์สงสัยถึงที่มาของเสียง และแล้วที่คานของวิหารนั้นเอง ปรากฏนกแร้งเกาะอยู่ เทพีไอซิสยิ้มพร้อมกับชูมือขึ้นเบื้องหน้า 
    "พระเทพีเจ้าทรงเสด็จมายังวิหารของหม่อมฉันเป็นเกียรติอย่างยิ่งเพคะ"
    นกแร้งนั้นก็บินล่องลงมาเบื้องล่างกลายเป็นร่างของหญิงสูงศักดิ์แต่งองค์ด้วยเครื่องประดับจำนวนมากแต่ที่เด่นที่สุดคือ ใบนกยาวใหญ่ที่ปักบนศีรษะของพระเทพีพระองค์นี้ 
   "ที่แท้ก็คือ....." เทพีเนปทีสกล่าวอย่างตกพระทัย
    "วิหคเทพีมัต" วิฬารเทพีบาสท์กล่าวอย่างดีพระทัย
   "เรารู้เราเห็นแต่เก็บเงียบงำมานานมาก สุริยเทพราห์ไร้ความเทียบธรรมมานาน เราในฐานะเทพีผู้ครองความยุติธรรมมาแต่บรรพกาล แต่ตัดสินใจเข้าข้างฝ่ายของเจ้าเทพีไอซิส"

   "ขอบพระทัยพระเทพีเจ้าที่ทรงกรุณา การที่เรามีท่านมาอยู่ร่วมด้วย แสดงว่าข้าคิดถูกแล้ว"
   "ตอนข้าประทับอยู่ในดินแดนปรภพรับใช้สนององค์ยมราชโอซิริสพระสวามีแห่งเจ้า ข้าเห็ยดวงวิญาณอันน่าเศร้าสร้อยแห่งอดีตฟาโรห์ที่ต้องสิ้นพระชนม์โดยการถูกลอบปลงพระชนม์อย่างน่าอนาถ ข้าเห็นที่ว่าไม่ควรรักษาประเพณีที่ต้องอภิเษกกันภายในสายพระโลหิตอีกต่อไป มันควรถึงคราวปฏิวัติแล้ว......."
  "ตายจริงพระเทพีเจ้า ทรงเลือดนักนิติศาสตร์พวยพุ่งแล้ว" เทพีเนปทีสกระซิบกับวิฬารเทพีบาสท์
  "ข้ารู้นะว่าพวกเจ้านิทราข้า ข้าเห็นว่าไอยคุปต์โบราณเยี่ยงนี้ควรได้รับการปฏิวัติ........ ข้าเห็นโลกยุคหลังอนุชนรุ่นหลังเก่ากาจ เข้าไม่สนใจประเพณีอะไรแบบนี้แล้ว เขาสนใจความเสมอภาค ความเท่าเทียม และสิทธิ เสรี ภาพ......  แม่นางพรพิงค์ผู้นี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้านสะท้อนประวัติศาสตร์ ลูกหลานจะต้องจดจำว่าราชินีแห่งอียิปต์มาจากสามัญชนธรรมดา ชนชั้นสูงจะรักษาไว้เพื่อผลประโยชน์พวกตนมันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว มันล้าสมัยเสียจริง"
   เทพีเนปทีส กับ วิฬารเทพีบาสท์ต่างตบมือกันเพื่อแสดงความชื่นชอบในความคิดของวิหคเทพีมัต
   " ช่างเป็นวาทศิลป์ที่เลิศที่สุดเท่าที่ข้าเคยฟังเลยเพคะ พระเทพีเจ้า" เทพีเนปทีสกล่าวอย่างจริงใจ
   "และตอนที่เท่าที่ข้าทราบมามีเทพและเทพีอีกหลายองค์พร้อมใจที่รวมเป็นพันธมิตรกับเจ้านะ เทพีไอซิส จงเดินต่อไปเถิดเทพีไอซิส"
    "ขอบพระทัยพระเทพีเจ้ามากเพคะ"
    "เช่นนั้นข้าของกลับก่อน วันใดที่สุริยเทพราห์จะขัดขวางเจ้าอีกครั้ง ข้าจะเข้ามาช่วยเจ้าอีกแรง ลาก่อน" วิหคเทพีมัตกางขาออกยืนมั้งสองข้างปรากฏเป็นปีกนกงอกออกมาและค่อยๆย่อตัวเล็กลงจนกลายเป็นนกแร้งและบินออกจากวิหารแห่งนี้ 
     "ช่างเป็นบุญเสียเหลือเกิน ช่างเป็นบุญของเราเหลือเกินที่ท่านมาโปรด"
    "ไม่น่าเชื่อว่าพระเทพีชั้นผู้ใหญ่เช่นนี้จะเข้าข้างเรานะพระพี่นาง"
    "ใช่ พระเทพีไม่เคยเลยที่จะยุ่งกับใคร แสดงว่าการที่ทรงมาร่วมกับนี้ช่างเป็นบุญยิ่งแล้วจริงๆ" เทพีไอซิสน้ำตานองด้วยความปลื้มใจในน้ำพระทัยแห่งวิหคเทพีมัต 
    วิหคเทพีมัตทรงเป็นพระเพทีดึกดำบรรพ์กำเนิดมาพร้อมกับการกำเนิดจักรวาลตามความเชื่อแบบจักรวาลวิทยาของอียิปต์ พระเทพีทรงมีวรกายเป็นนกแร้งเพราะเป็นสัตว์ที่ชาวอียิปต์ให้ความยำเกรงมาแต่ดึกดำบรรพ์ ความท้อแท้แห่งพระเทพีมลายหายไปสิ้น พระเทพีเริ่มสู้ใหม่อีกครั้งเมื่อพันธมิตรใหม่เป็นถึงเทพีชั้นผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนเช่นนี้แล้ว 
    ภายในราชวังอันโอ่อ่า องค์ฟาโรห์หนุ่มนั่งอยู่บนพระแท่นที่สูงกว่าบรรดาขุนนางที่เข้าเฝ้าฯ ขณะนี้เป็นเวลาแห่งการว่าราชการขององค์ฟาโรห์หนุ่มไฟแรง 
    "วันนี้มีฎีการายงานเราหรือไม่...?"
   "มีฝ่าพระบาท เมื่อวานนี้เกิดเหตุอุทกเหตุน้ำในแม่น้ำไนล์ล้นท่วมบ้านเรือนประชาชนชาวฝั่ง และจระเข้ร้ายก็ออกอาละวาดเป็นที่เตือนร้อนยิ่งนักพระเจ้าค่า"
   " เช่นนั้นเราขอส่งทหารจำนวน 20 นายไปช่วย คือ เสบียงและของใช้ที่จำเป็นไปแจกจ่าย และช่วยเหลือประชาชนของเราให้พ้นจากการที่จระเข้อาละวาด บ้านเรือนผู้ใดพังจากการถูกน้ำท่วมเราออกค่าเสียหายให้ตามสมควรแก่การซ่อมแซม"
  "ทรงเป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าค่า"
  "ฝ่าพระบาท ทางพระวิหารคงคาเทพฮาปิ เทพเจ้าแห่งลำน้ำไนล์ทรงส่งพระราชสาสน์มาทูลเชิญฝ่าพระบาทไปประกอบพิธีบรวงสรวงคงคาเทพฮาปิ เพื่อระยับเหตุอุทกภัยคราวนี้พระเจ้าค่า"
  "เช่นนั้นเรารับคำเชิญ แต่จะจัดขึ้นเมื่อไรกัน?"
  "อีกสองวันพระเจ้าค่า"
  "ดี เช่นนั้นวันนี้เราขอไปตรวจเยี่ยมประชาชนของเรา แต่เราจะไปในฐานะคนธรรมดา เพื่อไม่ให้ประชาชนของเราที่เดือดร้อนต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับการต้อนรับเรา และเราก็ไม่ค่อยชอบด้วย"
  "ได้พระเจ้าค่า หม่อมฉันจะให้องครักษ์ติดตามฝ่าพระบาทไป 5 คนพระเจ้าค่า"
 " 5 คนเยอะไป 2 คนก็พอแล้ว เราแค่ไปดูประชาชนของเรานะ ไม่ได้นักเลงหรืออันธพาลที่ไหน ท่านอำมาตย์ นั้นเราขอเลือกเลยละกัน เราขอดัสซาห์บุตรชายของท่าน กับ เมเสสบุตรชายท่านแม่ทัพอัสเปสแล้วกันมันทั้งสองเป็นสหายรักของข้า"
  "ได้ฝ่าพระบาท"
    องค์ฟาโรห์ปลอมพระองค์เป็นหนุ่มชาวอียิปต์สามัญชนพร้อมด้วยองครักษ์ทั้งสองซึ่งเป็นสหายรักของพระองค์เติบโตมาด้วยกันเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ไปยังที่เกิดเหตุโดยทรงประทับนั่งบนม้าไปยังเมืองที่เกิดอุทกภัย องค์ฟาโรห์ทรงลงจากหลังม้าแล้วผูกมันไว้กับต้นไม้ใหญ่ พระองค์พบว่าบ้านเรือนหลานหลังจมในน้ำหลายหลัง ซากศพของผู้ที่ตายจากการจมน้ำและถูกจระเข้ทำร้าย มีผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตต่างร้องไห้อาลัยต่อผู้ตาย 
   "ลูกแม่.....ยังเล็กน้อย....มาตายจากแม่ไปแล้ว" หญิงสาวร้องไห้อยู่ในท่าก้มเข่าอย่างน่าเวทนา
  "ช่างน่าสงสารจริงๆนะฝ่าพระบาท" ดัสซาร์กล่าวและถอนหายใจแรง
  "จะทำเช่นไรได้ แม่น้ำไนล์เป็นมารดาแห่งอียิปต์เราน่าจะปรับวิธีให้อยู่กับน้ำให้ได้เราจะมีวิธีไหนบ้างไหมที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้" องค์ฟาโรห์กล่าวอย่างกังวล

    องค์ฟาโรห์พร้อมด้วยสององครักษ์หนุ่มมุ่งไปยังกลุ่มชาวบ้านที่เกาะกลุ่มอยู่นั้น ท่ามกางผู้ที่สิ้นหวังแต่ทำไมกลับแลดูกระชุ่มกระชวยเพียงนี้ ภาพที่พระองค์ทรงเห็นคือ หญิงสาวหรือไม่ก็เทพธิดาบนสวรรค์เสด็จมามอบความเมตตาให้แก่ผู้ทุกข์ยาก ที่แท้ก็พรพิงค์นั้นเอง พรพิงค์พร้อมด้วยกลุ่มสาวรับใช้ช่วยกันพยาบาลผู้ที่บาดเจ็บทั้งทางกายและทางใจ อาหารจำนวนมากมายที่เศรษฐีนำมาบริจาคให้ชาวบ้านทานเพื่อแก้ความกระหายหิวหลังจากประสบภัยอันเลวร้ายมา 
   เทพีไอซิสปรากฏกายขึ้นในบริเวณที่สูงบนยอดดอนมองเห็นเหตุการณ์เบื้องล่าง 
   "คงคาเทพฮาปิ เทพผู้พิทักษ์แม่น้ำไนล์ทรงเข้าข้างฝ่ายสุริยเทพราห์ นี้คงเป็นพระประสงค์แห่งพระองค์เป็นแน่ ไม่น่าเลยผู้คนต่างต้องมาล้มตาย" เทพีไอซิสทรงประทับนั่งลงบนก้นหินใหญ่มองเหตุการณ์เบื้องล่างแล้วเกิดความเวทนาน่าสงสารเป็นยิ่งนัก
   พรพิงค์เทพธิดาแห่งคนยากค่อยพับแผลและทายาตรงบริเวณบาดแผลของผู้ป่วยอย่างถะนุถนอมด้วยใจที่อารีย์ องค์ฟาโรห์ใช้ผ้าพันที่พระพักตร์ของพระองค์เพื่อปิดบังนาง เด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาพรพิงค์ 
   "พี่พรพิงค์ครับ"
   "อัค มีอะไรหรือจ๊ะ นี้ครับผมให้พี่ครับ"
   เด็กชายน้อยน้อมดอกบัวสีขาวที่กำลังบานให้แก่พรพิงค์ 
  "เป็นดอกบัวที่งามมากเลยจ๊ะ น้องอัค"
   "ความจริงอยากว่ายไปเก็บยังริมแม่น้ำไนล์นะครับ แต่น้ำมันท่วมสูงเหลือเกินเลยเก็บมาเท่านี้นะครับพี่พรพิงค์"
   "แค่นี้ก็พอแล้วจ๊ะ ขอบใจมากนะจ๊ะ" พรพิงค์กอดเด็กชายน้อยผู้นั้นอย่างเอ็นดู 
   เด็กชายน้อยขาดความรักและเพิ่มฟื้นจากอาการเศร้ามาด้วยพ่อแม่ตายเพราะอุทกภัย แม่น้ำวิปโยคนี้เอง เด็กชายชอบพรพิงค์จึงได้แรงบันดาลอยากเก็บดอกบัวที่บานงามเป็นกออยู่กลางแม่น้ำไนล์
   "เราอยากให้ดอกบัวกอนั้นกับพี่พรพิงค์จังเลย สงสัยต้องลองว่ายไปเอาดูเสียแล้ว"
   เด็กชายค่อยๆลงไปจากขอบของแม่น้ำลงไปเรื่อยๆ จนเด็กชายพยายามตะเกลียดตะกายไปยังกอบัวนั้นแต่แล้ว เด็กชายไม่สามาารถสู้กระแสน้ำนั้นได้จึงถูกกระแสน้ำนั้นพลัดไป เทพีไอซิสทรงเห็นเข้าพอดี
  "ตายแล้ว....หนูน้อยลงไปทำไมกัน  ต้องช่วยเสียแล้ว" 
      เทพีไอซิสทรงเนรมิตโหดหินขึ้นมาเป็นอย่างโชคดีเด็กชายเกาะไว้ได้ทัน 
   "พวกเราดูนั้นเจ้าหนูอัคติดอยู่ที่กลางแม่น้ำ ใครก็ได้ช่วยด้วย" หญิงชราคนหนึ่งตระโกนขึ้น
    พรพิงค์ตกใจเมื่อรู้ว่าเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย คืออัค "อัคหรือ?!" พรพิงค์วิ่งไปอย่างรวดเร็วจนถึงขอบฝั่ง กระแสน้ำเริ่มแรกขึ้นอย่างน่าประหลาดท้องฟ้าเบื้องบนมืดครืนด้วยเมฆดำเมื่อพายุจะเข้า พรพิงค์ใจไม่ดีหากปล่อยให้อัคเป็นอย่างนี้ต่อไป อาจจะจมน้ำตายหรือไม่ก็ตกเป็นอาหารของจระเข้และฮิปโปโปเตมัสก็เป็นได้ เธอจึงตัดสินใจพายเรือเข้าไปช่วยอัคเด็กน้อยผู้น่าสงสาร เทพีไอซิสล่วงรู้อย่างแน่พระทัยว่ามันเป็นแผนล่วงของคงคาเทพฮาปิเป็นแน่ พรพิงค์ต้องไม่ปลอดภัยเป็นแน่ 
  "แย่แล้วพรพิงค์...มันเป็นแผนล่วงของคงคาเทพฮาปิ!จะทำกันอย่างไรดี?"
     พรพิงค์พายเรือออกไปแล้ว องค์ฟาโรห์ที่กำลังสังเกตการณ์อยู่นั้น พอเห็นว่าพรพิงค์กำลังพายเรือเข้าไปช่วยเด็กชายนั้น พระองค์ทรงได้แต่มองเพราะไม่อยากแสดงหรือเผยกลัวว่าพรพิงค์จะรู้ว่าพระองค์อยู่ที่นี้ พรพิงค์พายเรือใหล้จะถึงโขดหินที่เด็กชายเกาะไว้
  "พี่พรพิงค์ช่วยด้วยครับ"
  "ใจดีๆไว้นะอัค พี่มารับหนูขึ้นฝั่ง"
   "ครับ"
   "นางช่างมีความเมตตาสมเป็นเทพีแห่งคนทุกข์ยาก" องค์ฟาโรห์กล่าวออกมาจากใจ 
   "จริงของฝ่าพระบาท" เมเสสกล่าว
    "หญิงผู้นี้หรือไม่ที่ฝ่าพระบาทกล่าวถึงในคืนนั้นที่ทรงเล่าให้หม่อมฉันฟัง" ดัสซาร์กล่าว
     องค์ฟาโรห์ไม่ตอบอันใดนอกจากยิ้มเท่านั้น 
    "แสดงว่าหม่อมฉันพูดถูก" ดัสซาร์กล่าว
   พรพิงค์ใกล้ถึงตัวเด็กชายอัคแล้วนางยืนมือให้อัคจับแล้วนางก็จับเด็กน้อยทั้งสองข้างและพยุงเด็กน้อยขึ้นบนเรือ
    "ขวัญเอย ขวัญมาอัคเอย ปลอดภัยแล้วนะน้องน่ะ"
     เด็กชายได้แต่ร้องไห้ด้วยความกลัว พรพิงค์ให้อัคนั่งที่หัวเรือเพื่อนางจะได้พายเรือสะดวก
 แต่แล้วความมืดเข้าเยี่ยงลำน้ำไนท์  น้ำที่ใสเขียวนั้นก็มืดสนิทดั่งน้ำมนต์ สายลมเริ่มแรงขึ้นอย่างน่ากลัว 
   "ฝ่าพระบาททำไมมันมืดเร็วเหลือเกินพระเจ้าค่า" เมเสสกล่าว
    "หรือเป็นมนต์ของปีศาจร้ายพระเจ้าค่า" ดัสซาร์ตอบกลับ
    "เราก็ไม่รู้หรอก เราก็อยู่ด้วยกันกับพวกเจ้านี้เละ" องค์ฟาโรห์ตอยด้วยความไม่พอใจ 
     ผืนน้ำมืดสนิทพรพิงค์พยายามจะพายเรือกลับมา แต่แล้วในสายน้ำกลับปรากฏดวงไฟสีแดงชาดใต้ผิวน้ำอย่างน่ากลัวเหมือนดั่งดวงตาของปีศาจ พรพิงค์ต้องระงบความกลัวแข็งใจไว้เพราะอีกไม่กี่จ้ำของไม้พายก็จะถึงฝั่ง โชคยังดีที่นางพายเรือถึงฝั่งตรงหัวเรือถึงชายฝั่ง
   "อัครีบลงไปจากเรือเร็ว พี่จะตามได้ตามไปบ้าง"

   "คัรบๆ"
   พออัคขึ้นจากเรือสำเร็จพรพิงค์กำลังจะเทียบฝั่งแล้วพยายามจะลุกขึ้นเหยียบบนฝั่ง แต่แล้วเหมือนมีพลังแบบอย่างดึงกระชากเรือทำให้เธอหล่นกลับไปบนเรืออีก สร้างความตกตื่นให้กับผู้คน หางอันยาวใหญ่พ้นขึ้นเหนือน้ำลากเรือที่พรพิงค์อยู่ออกไปต่อหน้าต่อตา
   "ไม่........" องค์ฟาโรห์ร้องออกมาอย่างตกใจ
   ที่แท้มันคือจระเข้ยักษ์น่ากลัว ดวงตาสีแดงชาดน่ากลัว มันพยายามที่จะพังเรือของพรพิงค์ พรพิงค์กลัวจนทำอะไรไม่ถูกใช้ทั้งไม้พายตีแล้ว ด้วยความเป็นผู้หญิงและความกลัวเธอจึงไม่สามารถคุมเรือได้เรือจึงล่มลง ร่างของนางหายไปในแม่น้าไนล์ท่ามกลางพายุที่ที่พัดเข้ามา องค์ฟาโรห์เหมือนใจจะสลาย
    ลมพายุสงบลง มีแต่เรือที่ปราศจากพรพิงค์เท่านั้นที่ล่องลอยอยู่ พรพิงค์ค่อยๆจมลงสู่เบื้องล่างของแม่น้ำ จระเข้ยักษ์ตาแดงนั้นว่ายหลีกจากนาง จากร่างจระเข้ยักษ์ก็กลายเป็นอธรรมเทพเซ็ตผู้ชั่วร้ายนั้นเอง อธรรมเทพเซ็ตกลับสู่ดินแดนแห่งเทพเจ้าไอยคุปต์โบราณ เทพีไอซิสตกพระทัยมากที่เห็นพรพิงค์จมหายไปในลำน้ำไนล์พระเทพีต่อว่าสุริยเทพราห์อย่างรุนแรง
   "ทำไมต้องรังแกผู้หญิงมนุษย์ที่ไม่มีทางสู้เล่า สุริยเทพราห์....... ท่านให้คงคาเทพฮาปิกับกุมภีร์เทพเซเบ็คทำลายนาง...." เทพีไอซิสโหยวายอย่างคลั่ง
   "พระเทพีเจ้ากุมภีร์เทพเซเบ็คมิได้ทำร้ายพรพิงค์เพคะ" วิฬารเทพีบาสท์ปรากฏขึ้นพร้อมด้วยบุรุษรูปงามแต่มีศีรษะเป็นจระเข้สวมมงกุฎแผงดวงตะวัน 
   "ข้าแต่พระพี่นางข้ากุมภีร์เทพเซเบ็คพระอนุชาต่างบิดาของพระองค์ขอทำความเคารพ"
   "และจระเข้ยักษ์นั้นคือผู้ใดหากไม่ใช่เจ้าหรือบริวารของเจ้า" เทพีไอซิสกล่าวอย่างพิโรธ
   "นั้นคืออธรรมเทพเซ็ตจำแลงร่างเป็นจระเข้ปีศาจพระเจ้าค่าพระพี่นาง" กุมภีร์เทพเซเบ็คกล่าว
   " เจ้าน้องสารเลวพันธุ์นั้นอีกแล้วหรือ เป็นอริกับข้ามาตั้งแต่สมัยแห่งเทพนิยาย....ตอนนี้ก็ยังคงจะตามจองกรรมจองเวรข้าอีกหรืออย่างไรกัน เซ็ต....."
   "กุมภีร์เทพเซเบ็คน้องพี่ เจ้าช่วยเหลือพี่ช่วยนำพรพิงค์ขึ้นมาจากลำน้ำไนล์ด้วยเถิด"
  "ได้พระเจ้าค่าพระพี่นาง"
  กุมภีร์เทพเซเบ็คค่อยๆเดินลุกไปยังใต้ลำน้ำไนล์ จำแลงร่างเป็นจระเข้ผิวเขียวมรกตงดงามมุ่งสู่สะดือแม่น้ำ ร่างของพรพิงค์ล่องลอยอยู่กับสาหร่ายใต้ลำน้ำอย่างทุลักทุเล เหล่าจระเข้น้อยใหญ่พากันช่วยเหลือกุมภีร์เทพเซเบ็คและพยุงร่างของพรพิงค์ขึ้นสู่ผิวน้ำสุดท้ายกุมภีร์เทพเซเบ็คก็คาบพรพิงค์ไว้ในปากที่มีฟันขาวดังเพชรระยิบระยับ เป็นภาพที่ตื่นกลัวมากองค์ฟาโรห์ชักดาบขึ้นหมายจะลงน้ำไปสังหารจระเข้นั้น แต่แล้วก็ถูกอาวุโสของหมู่บ้านห้าม

   "ไอ้หนุ่มใจฉกรรณ์เจ้าอย่าทำร้ายจระเข้เทพตนนี้เด็ดขาด"
   "จระเข้เทพ...?"
  จระเข้พอถึงฝั่งก็ค่อยๆวางพรพิงค์ลงที่ชายน้ำ และว่ายจากไป ชายแก่ชูมือขึ้นเสมือนการสักการะ
   "ขอกุมภีร์เทพเซเบ็คทรงคุ้มครองลูกหลานของพวกเรา พระองค์ผู้เจริญ"
  จระเข้ตัวนั้นชูศีรษะขึ้นเหนือผิวน้ำพร้อมกับบันดาลให้กระแสน้ำลดลง ซากหมู่บ้านก็ปรากฏขึ้นแม่น้ำไนล์ไม่มีความวิปโยคอีกต่อไปกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ชาวบ้านพากันทำความเคารพเพราะกุมภีร์เทพเซเบ็คนั้นเป็นเทพเจ้าของพวกเขาบูชากันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและทรงเป็นพระอนุชาแห่งเทพีไอซิสอีกด้วยแต่ต่างพระบิดากัน กุมภีร์เทพเซเบ็คทรงกลับสู่รูปร่างของเทพเจ้าเข้าเฝ้าฯเทพีไอซิส 
    "ขอบใจมากน้องข้า" เทพีไอซิสกล่าวอย่างสุขใจ
    "มิเป็นไรหรอกพระพี่นาง ข้าจะขอช่วยเหลือท่านและสนับสนุนท่าน พรพิงค์นางนี้เป็นสตรีที่เหมาะสมและมีคุณงามความดีอย่างยิ่งแล้ว หม่อมฉันขอเหล่าสนับสนุนให้หญิงผู้นี้ได้เป็นราชินีแห่งอียิปต์ หม่อมฉันขอลา" กุมภีร์เทพเซเบ็คหายตัวกลับไปยังแดนเทพเจ้าไอยคุปต์โบราณ  
องค์ฟาโรห์เข้าไปช่วยพรพิงค์ เด็กชายอัคก็เช่นกัน
  "จะทำอย่างไรดี...จะทำอย่างไรดี" เด็กชายอัคกล่าวพร้อมกับร้องไห้น้ำมูกไหล
  องค์ฟาโรห์ไม่รอช้าประกบปากอยู่เป่าลมหายใจเจ้าไปในปากของพรพิงค์ และปั้มที่อกของพรพิงค์ 
   "เจ้าต้องตื่น...เจ้าต้องฟื้น....เจ้าต้องอยู่กับข้า....แม่นางข้าจะไม่ให้เจ้าไปไหนจากข้า"
  เทพีไอซิสพร้อมด้วยวิฬารเทพีบาสท์ปรากฏขึ้นเป็นกายทิพย์ไม่มีผู้ใดเห็น เทพีไอซิสก้มนั่งลงข้างๆองค์ฟาโรห์
   "องค์ฟาโรห์คงรักนางมาก"
  "ข้ารักนางมาก ข้ารักมาก ถึงแม้จะให้ข้าเอาชีวิตมาแลกกับนางข้าก็ยอม"
  "ประเสริฐยิ่งนัก พระองค์ทรงรักนางแล้ว" 
   เทพีไอซิสปราบปลื่มจนน้ำเนตรไหลริ่มทั้งสองข้าง พระเทพีเจ้าทรงใช้พระหัตถ์ลูบไปที่ใบหน้าของพรพิงค์พลังแห่งเทพให้ทำร่างของที่เย็นเยือกเพราะถูกแช่น้ำนานกลับอบอุ่นขึ้นแล้วนางก็สำลักน้ำออกมา
  "เจ้าปลอดภัยแล้ว" องค์ฟาโรห์เข้ากอดกับนางจนสุดแรง 
  "ท่านปล่อยคุณหนูของข้านะ" สาวรับใช้เข้าประคองพรพิงค์ ช่วยกันพยุงร่างของที่ได้สติแล้วไปยังที่พยาบาลคนป่วย เหลือเพียงแต่รองเท้าที่นางสวมนั้นหลุดอยู่ข้างหนึ่ง องค์ฟาโรห์เก็บรองเท้าของนางไว้ 

 "ข้าจะเก็บรองเท้านี้ไว้ นางต้องเป็นลูกสาวบ้านผู้ดีซะบ้านหนึ่งและข้าจะตามหาเจ้าอีกครั้ง แม่นางยอดรักของข้า"
  องค์ฟาโรห์นำเศษที่พกมาด้วยออกมาพังรองเท้าของพรพิงค์ไว้แล้วทรงถือมันไว้ตลอด เป็นสิ่งแทนนางและทรงเสด็จกลับวังในค่ำวันนั้น ความรักหนอความรักเทพเจ้ายังวุ่นวาย แต่สุดท้ายเหตุการณ์ครั้งที่ก็ทำให้เทพีไอซิสรับรู้ว่าองค์ฟาโรห์รักพรพิงค์อย่างสุดใจ และศัตรูที่สำคัญมิใช่สุริยเทพราห์แต่กลับเป็นอธรรมเทพเซ็ต 
  "ไอ้น้องชายสารเลว...." เทพีกล่าวอย่างโกรธคลั่งบรรยากาศเก่าๆครั้งนั้นของพระเทพีหวนกลับมาอีกครั้ง  

จากเหตุการณ์นั้นมาพอเสด็จกลับมายังวัง องค์ฟาโรห์หนุ่มไม่เป็นอันทำอะไร พอขึ้นห้องบรรทมก็ทรงเอาแต่มองรองเท้าประหลาดนี้ ภาพนั้นปรากฏขึ้นในใจของพระองค์ ใบหน้าของพรพิงค์นางอันเป็นที่รักของพระองค์ 
   "ข้ารักเจ้าเหลือเกิน ข้าต้องหาทางไปพบเจอเจ้าอีกให้เป็นได้"
   องค์ฟาโรห์ลุกขึ้นจากพระแท่นเดินไปยังขอบมุขของห้องบรรทม มองไปยังท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาวเสมือนเศษของเพชรที่กระจายอยู่เต็มฟ้า 
   "ข้าแต่ นภาเทพีนัท เทพีแห่งท้องฟ้า และหมู่ดวงดาวอันศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้ข้าและนางได้เป็นคู่กันด้วยเถิด"
  ตอนนั้นเอง เจ้าแมวประหลาดเดินไปมาก็ร้องส่งเสียงขึ้น "เหมียว............เหมียว...." เสมือนมันจะเตือนองค์ฟาโรห์ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น
   "พระพันปีเสด็จ....."
   องค์ฟาโรห์ทรงตกพระทัยรีบคว้ารองเท้าของพรพิงค์ไปเก็บไว้ใต้พระแท่นบรรทมและเอาผ้าคลุมพระแท่นปิดอีกที พอพระองค์ทรงหันไปก็พบกับหญิงวัยกลางคนแต่กลับยังทรงเสน่ห์และมีพลังอำนาจอย่างบอกไม่ถูก นั้นคือพระมารดาของพระองค์นั้นเอง 
   "เป็นอย่างไรบ้างลูกรัก เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือไม่?" พระพันปีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
   "ไม่เท่าไรพระมารดา"
   "แม่ได้ข่าวว่าน้ำในลำน้ำไนล์ลดลงแล้ว ภารกิจของลูกตอนนี้ยังแค่เบาๆ ลูกแม่เจ้าต้องพบอะไรที่มันหนักหนากว่านี้มาก เหมือนอย่างตอนที่พ่อของลูก ท่านเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ทรงสุขใจเมื่อเห็นพสกนิกรกินอิ่มนอนหลับและมีความสุข"
  "หม่อมฉันจำได้พระมารดา พระบิดาทรงเป็นฟาโรห์ที่มีพระปรีชาสามารถ หม่อมฉันอยากเป็นฟาโรห์อย่างพระบิดา"
  "สักวันลูกต้องได้เป็นฟาโรห์ที่ดีเช่นพ่อของลูก"
  พระพันปีประทับนั่งลงบนพระแท่น ส่วนองค์ฟาโรห์ทรงนั่งลงบนพื้นเบื้องล่าง เจ้าแมวประหลาดกระโดดขึ้นนั่งข้างพระพันปีและถูไถไปมาตามแขน แล้วจึงนอนลงข้างๆอย่างน่าเอ็นดู

   "คงเป็นแมวเหมียวแห่งวิหารวิฬารเทพีบาสท์เป็นแน่..."
   "ใช่ พระมารดา" องค์ฟาโรห์จับมือพระพันปีไว้แน่น
   "ลูกมีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า"
   "ไม่ ! พระมารดา"
  "แต่อาการลูกมันฟ้องว่าลูกมีอะไรค้างคาใจอยู่"
  "ไม่ !พระมารดาลูกไม่....!"
  "อย่าโกหกแม่ลูกรัก แม่รู้ลูกของแม่จ๊ะ" พระพันปีลูบที่ศีรษะขององค์ฟาโรห์อย่างน่าเอ็นดู
  ความรู้สึกขององค์ฟาโรห์ต้องการที่จะบอกเรื่องของพรพิงค์แก่พระพันปี แต่ไม่ทรงกล้าพอได้แต่ปิดปากเงียบและหลบตา
  "แม่รู้จากพระราชครูแห่งวิหารหลวงว่า ลูกแม่หลงรักบุตรีคหบดีนางหนึ่ง... "
   องค์ฟาโรห์ได้ยินดังนั้นถึงกับอึ้ง "พระมารดาทรงทราบ"
    "วันนี้แม่ไปยังวิหารแห่งเทพีไอซิส เพื่อขอพรให้ลูกปลอดภัยจากอันตรายเนื่องจากไปเยี่ยมเยือนประชาชนบริเวณลำน้ำไนล์ แม่พบเข้ากับพระราชครูพอดี ท่านเล่าให้แม่ฟังว่าถึงเหตุการณ์ที่วิหารวิฬารเทพีบาสท์ ว่าเจ้าพอใจกับหญิงงามมีศักดิ์เป็นบุตรีบุญธรรมแห่งคหบดีชาวเอเซียกลาง นามว่า บาสซิกส์  ส่วนแม่นางนามว่า พรพิงค์ ใช่หรือไม่ ? ลูกรัก" 
  องค์ฟาโรห์พยักหน้าและยิ้มเล็กน้อย 
    "แม่ก็ไม่ได้อยากที่จะห้ามความรักของลูกนะ พอลูกอภิเษกกับพระคู่หมั้นแล้วให้เธอเป็นองค์ราชินี หลังจากนั้นลูกจะแต่งพระสนมอีกกี่นางก็ได้นะลูก"
  "พระมารดา หม่อมฉันรักนางจริงขอรับ ลูกอยากได้นางเป็นราชินีเคียงข้างกับลูก"
  "แต่กฎมณเฑียรบาลของราชสำนักเราให้อภิเษกภายในเชื้อสายเดียวกัน เสมือนองค์ยมเทพโอซิริสกับองค์เทพีไอซิสไงจ๊ะ"
  "แต่ลูกไม่ได้รักนาง!"
  "แม่เข้าใจ ความรักห้ามกันไม่ได้ แต่นี้คือหน้าที่ของลูก บัลลังก์ของลูกจะเข้มแข็งได้ ลูกต้องอภิเษกกับเจ้าหญิงจากราชวงศ์เก่า"
  "พระธิดาของคนที่ฆ่าพระบิดาของหม่อมฉันหรือขอรับ" องค์ฟาโรห์กล่าวด้วยเสียงอันเศร้า
  "ตายจริง ลูกแม่อย่าพูดอย่างนั้น เราพิสูจน์ไม่ได้หรอกว่าเขาเป็นคนฆ่าพ่อของลูก"
   พระพันปีอ้อบกอดองค์ฟาโรห์เป็นการปลอบใจ "ลูกรัก แม่จะพิจารณาอีกที แม่เกรงว่าหากเราปฏิเสธเขามันจะเป็นเรื่องใหญ่ บัลลังก์ของลูกหรือแม้แต่ตัวของเองจะไม่ปลอดภัย"
  องค์ฟาโรห์ทรงเข้าพระทัยในคำกล่าวของพระพันปีเป็นอย่างดี เบื้องหลังการสวรรคตของอดีตองค์ฟาโรห์ มีความลับปกปิดกันอยู่อย่างมีข้อสงสัยแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอยถึงการสวรรคตของอดีตองค์ฟาโรห์อีกเลย เพราะขาดหลักฐานมัดตัว

   "เดี๋ยวแม่ไม่รบกวนแล้ว ลูกจะได้พัก เดี๋ยวแม่จะเข้าไปในหอพระ เพื่อสวดมนต์ให้อาณาจักรมีแต่สันติสุข"
   พระพันปีลุกขึ้นพระแท่น มองหน้าองค์ฟาโรห์อย่างเมตตา แล้วทรงค่อยเดินออกจากไป แมวประหลาดนั้นตื่นขึ้นดวงตาเปล่งเป็นเปลวไฟสีฟ้าลุกอยู่ภายในตา และมันก็วิ่งออกตามไปเหลือเพียงองค์ฟาโรห์อยู่เพียงผู้เดียว  

      พระพันปีเสด็จพร้อมนางกำนัลคนสนิทไปยังหอพระ หอพระนี้เป็นเพียงเทวาลัยองค์ย่อมๆในเขตพระราชฐาน เป็นที่สงบพระพันปีมักมาอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ หอพระนี้เสมอ 
   หอพระเป็นอาคารสร้างเลียนแบบเทวาลัย แต่เป็นเสมือนเทวาลัยขนาดเล็ก ภายในสว่างไสวไปด้วยตะเกียจน้ำมันไม่กี่ดวง เพราะขนาดของเทวาลัยไม่ใหญ่โตนัก ภายในมีเทวรูปของเทพีไอซิสประทับสง่าในปางที่อุ้มพระกุมาร คือ โอรสสวรรค์ฮอรัส พระพันปียืนยังพระแท่นบูชาที่มีดวงประทีปและเครื่องหอมจำนวนย่อมๆถูกวางในภาชนะทองเหลืองจิ๋ว เบื้องหน้าเป็นเตาเผาที่ถูกบรรจุไปด้วยไม้หอมจำนวนมาก   
   "เจ้าจงจุดไฟในเตาเผานี้ให้แก่เรา"
   "เพคะ พระพันปี"
   นางกำนัลนำไม้หอมชิ้นเล็กมาจุดกับดวงประทีปดวงจิ๋วในตะเกียจดินเผา เปลวไฟติดลุกโชตินางนำไปวางไว้ในเตาเผาเปลวไฟนั้นก็ลามไปทั่วจนควันหอมค่อยลอยขึ้นไปทั่วหอพระ พระพันปีค่อยบรรจุเทผงหอมนานาลงไปในเตาเผา ผงหอมต่างๆล้วนถูกเทลงไปจนหมด พระพันปีตั้งจิตเป็นสมาธิ แล้วจึงอธิษฐานต่อเทวรูปเทพีไอซิสเบื้องหน้า 
   แมวประหลาดที่ตามมาด้วยแอบดูพระพันปีหน้าหอพระ มันกำลังคิดแผนการให้ลุล่วง 
   "ข้าต้องทำให้พระมารดาแห่งองค์ฟาโรห์เป็นแรงสำคัญในการสนับสนุนให้องค์ฟาโรห์เสกสมรสกับพรพิงค์ เหมียว....." แววตาของมันส่องประกายอีกครั้ง 
  พระพันปีอธิษฐานต่อเทวรูป " เทพีไอซิส พระมารดาแห่งสวรรค์แลพิภพของความสวัสดิมงคลจนมีแก่องค์ฟาโรห์พระโอรสแห่งหม่อมฉันด้วย ขอพระเมตตาของพระเทพีเจ้าทรงพิทักษ์รักษาอาณาจักรอียิปต์ในรัชกาลขององค์ฟาโรห์นี้จนรุ่งเรือง"
     และแล้วเจ้าแมวประหลาดก็กระโดดดับตะเกียจทั้งสี่มุมของหอพระ เหลือเพียงแต่ดวงประทีบเล็กน้อย และเปลวไฟจากเตาเผาเครื่องหอมเท่านั้น 
  "เกิดอะไรขึ้นนี้ รีบจุดไฟเร็ว"
  "เพคะ พระพันปี"
  "พระพันปี...พระพันปี...."
  "ใครเรียกเรา....?"
   "พระพันปี โปรดหันมาเบื้องหน้าเถิด..."

  พระพันปีหเห็นพระพักตร์ไปยังเบื้องหน้า คือ ที่ตั้งของเทวรูปเทพีไอซิสและพระกุมารเทพ 

   "เสียงของพระเทพีเจ้าหรือเพคะ!"
   "เรา...เทพีไอซิสที่เจ้าเรียกร้องหาและอธิษฐานอยู่ทุกวัน...."
   "พระเทพีทรงสำแดงฤทธิ์แล้ว ขออภัย หม่อมฉันด้วย หากหม่อมฉันล่วงเกินพระเทพีเจ้าเพคะ"
 "เรามาตามแรงอธิษฐานแห่งพระพันปี เราเข้าใจเรารู้เราเห็น ขณะนี้ในพระทัยของท่าน มีความทุกข์เรื่องพระโอรสใช่หรือไม่?"
  "องค์ฟาโรห์พระโอรสของหม่อมฉันเพคะ ทรงอยากเสกสมรสกับหญิงสาวชาวบ้าน มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาล"
  "กฎมณเฑียรบาล ก็คือกฎ กฎย่อมแก้ไขได้ พระพันปีอย่างได้วิตกว่าจะผิดต่อราชประเพณีไปเลย ข้ารู้ นางมีความงามเป็นเลิศ ช่างงามเหนือสตรีใดในอียิปต์แห่งนี้ และหากองค์ฟาโรห์ได้นางเป็นราชินีอาณาจักรอียิปต์จะเจริญรุ่งเรือง"
  "หากเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันก็สบายใจ แต่ว่า....."
   "แต่อะไรหรือพระพันปี เขาทั้งสองเหมาะสมกันราวกับเทพอุ้มสม..."
  "ไม่เช่นนั้นเพคะ คือ องค์ฟาโรห์ทรงมีพระคู่หมั้นอยู่แล้ว"
  "คู่หมั้นหมายก็ถอนหมั้นได้....ไม่เห็นว่าเป็นปัญหา และอีกอย่างราชตระกูลนั้นก็สังหารพระบิดาแห่งองค์ฟาโรห์มิใช่หรือ....?"
 "มันก็ถูกเพคะ แต่หม่อมฉันกลัวสงครามระหว่างราชวงศ์เพคะ"
  "พระพันปี จงฟังเราไว้น่ะ ความดีย่อมชนะความเลวร้าย จงสบายพระทัยอย่าได้เกรงกลัวอะไรเลยพระพันปี"
  "ขอขอบพระทัยพระเทพีเจ้าที่ทรงพระเมตตาเพคะ"
   ไม่นานเสียงนั้นก็หายไป ทุกอย่างเงียบไร้วี่แวว
   "สงสัยพระเทพีเจ้าจะเสด็จกลับสู่แดนเทพเจ้าและกระมั้ง"
   พระพันปีกับเหล่านางกำนัลค่อยคลำทางออกไปจุดตะเกียจที่ดับไปแล้ว แต่ไม่ทันใดตะเกียจทั้งสี่มุมก็สว่างขึ้นอย่างน่าประหลาด
  "ตกใจหมดเลย พวกเรากลับกันเถิด" 
    "เพคะ"
   "เหมียว.....เหมียว......"
   "ตายจริง แมวตัวนี้เข้ามาอยู่ในที่ด้วยหรือ"
   เจ้าแมวประหลาดเดินเข้ามาหาพระพันปี แล้วถูไถ่กับแขนของพระพันปี 
   "เข้ามาตั้งแต่ไม่ไรหนอเจ้าแม่เหมียว กลับไปหาองค์ฟาโรห์เจ้านายเจ้าซะนะ"

   จากนั้นแมวประหลาดก็วิ่งออกไปจากหอพระ ราวกับมันเข้าใจในสิ่งที่พระพันปีกล่าวกับมัน พระพันปีเดินออกจากหอพระด้วยรอยยิ้มที่เป็นสุข พระองค์เกิดความปรารถนาอย่างที่พบเจอกับหญิงสาวที่มีนามว่าพรพิงค์เสียแล้ว 
   "เจ้าทั้งสองจงฟังเรา..."
    "เพคะ พระพันปี"
   "วันพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปยังบ้านของหญิงสาวที่นามว่า พรพิงค์ ข้าอยากจะเห็นนางเหลือเกินว่า นางงามตามคำล่ำลือหรือไม่ แล้วหากนางทำให้เราพอใจ เราจะรับนางเข้าวัง ข้าอยากให้พวกเจ้าเตรียมตัวไว้"
   "และพระพันปีจะไปอย่างไรเพคะ"
   "เราและเจ้าทั้งสองพร้อมด้วยองครักษ์ของเราหนึ่งคนจะออกจากวังในวันพรุ่งนี้โดยการปลอมตัวเป็นชาวบ้านไปสอบสืบข้อมูลของนาง ดึกมากแล้วไปกันเถิดพรุ่งนี้เราต้องทำอะไรอีกมาก"
    แววตาของพระพันปีมีแววตาที่ประกายด้วยความหวัง ในใจคิดเพียงว่า หญิงสาวที่ชื่อว่าพรพิงค์นี้หรือ นางเป็นผู้มีความเป็นปริศนาซ่อนเร้นจนน่าสนใจ นางจะเป็นคนอย่างไร และจะจริงตามพระสุรเสียงอันศักดิ์สิทธิ์นั้นของเทพีไอซิสหรือไม่ แต่แท้ที่จริงแล้วเสียงนั้นที่เข้าใจว่าเป็นเทพีไอซิสนั้น คือ เสียงของเจ้าแมวประหลาดตัวนี้ มันใช้พลังในฐานะบริวารแห่งวิฬารเทพีบาสท์พูดเป็นภาษามนุษย์โดยการแอบอ้างเป็นเทพีไอซิสให้พระพันปีเชื่อใจ และสุดท้ายมันก็ลวงให้พระพันปีเชื่อตามมันจนได้... 

 วันรุ่งขึ้นดวงอาทิตย์ขึ้นสูงท้องฟ้าอีกคราว บนแดนสรวงสวรรค์แห่งเทพไอยคุปต์โบราณ วิหารแห่งแสงตะวันกำลังเฉิดฉายไปด้วยรัศมีแห่งความอบอุ่นแห่งรัศมีจากพระวรกายแห่งสุริยเทพราห์ พระองค์ทรงลืมพระเนตรขึ้นจึงทำให้รัศมีที่อบอุ่นเปล่งเป็นสีอันทองคำ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระแท่นเสด็จมายังระเบียบริมขอบกลุ่มเมฆ ชมทัศนืยภาพยามเช้าของอาณาจักรอียิปต์ พร้อมกับเปล่งพระสุรเสียงว่า 
  "ขอให้อียิปต์ชนทั้งหลายจงยินดีและมีความสุขกับฟ้าวันใหม่" 
    พระองค์ทรงแย้มสรวลอย่างเป็นสุข แต่แล้วไม่ทันใดเมื่อพระองค์ทรงหันไปไม่ทันใดพระองค์กลับตะลึงเมื่อพบกับ อธรรมเทพเซ็ต 
   "ขอคารวะองค์พระบรมบิดาสุริยเทพราห์"
    "อรุณสวัสดิ์เหลนข้า วันนี้มีเรื่องอันใดจึงมาหาข้าแต่เช้า"
    "หม่อมฉันมีเรื่องมาทูลพระองค์"
    "เซ็ตเหลนข้า... ข้าว่าเจ้าหยุดต่อต้านไอซิสพี่สาวของเจ้าเถิด...ข้าแก่มากแล้ว ไม่ไหวที่จะสู้รบกับนางหรอก"
  "พระองค์ต้องสู้กับไอซิส เพราะตอนนี้อีกไม่นาน พรพิงค์ คงได้เป็นราชินีแห่งอียิปต์ผิดธรรมเนียมการสืบสันติวงศ์นะพระองค์
   "ช่างเขา ทุกสิ่งทุกอย่างยังเปลี่ยนแปลงได้เลย จะอะไรกับระเบียบประเพณีจะปรับแก้บ้างจะเป็นอะไรไป"
   "อันนั้นหม่อมฉันเข้าใจ แต่พระองค์ลืมความหลังแล้วหรือพระองค์ ความหลังที่ทำให้พระองค์ทรงจากอาณาจักรแห่งพระองค์มายังที่แห่งนี้"

  แววตาของมึนมัวด้วยวัยชราของสุริยเทพราห์เริ่มเบิกกว้าง ประกายเปลวเพลิงแห่งความแค้นประทุขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นเปลวเพลิงที่รุกโชติช่วง ภาพในอดีตปรากฏขึ้นอีกครั้ง

       ครั้งสมัยที่เทพเจ้าปกครองอาณาจักรอียิปต์เบื้องล่าง องค์สุริยเทพราห์ ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ปกครองด้วยความสันติสุขและความเจริญของอียิปต์ค่อยๆงอกงามขึ้น และจำแลงร่างในร่างของมนุษย์ จนในที่สุดทรงชราภาพลงแต่องค์ฟาโรห์มิยอมสละบัลลังก์ให้กับองค์ชายโอซิริสเสียที พระชายาไอซิส หรือก็คือ เทพีไอซิส
     "อายุปูนนี้แล้วกลับไม่ยอมสละบัลลังก์ให้องค์โอซิริสขึ้นเสียที สงสัยข้าต้องทำอะไรบางอย่างเสีบแล้ว"
   พระชายาไอซิสทรงคิดแผนการจะให้พระสวามี คือ องค์ชายโอซิริสขึ้นเป็นฟาโรห์ ในตอนนั้นเองขณะที่องค์ฟาโรห์ราห์กำลังเดินเล่นในพระอุทยาน พระชายาไอซิสแอบซ่อมในพุ่มไม้ พระนางปั้นดินเหนียวขึ้นเป็นรูปงู ด้วยทรงชำนาญในไสยเวทย์มนต์คาถาจึงได้ร่ายเวทย์มนต์ลงไปในดินเหนียวนั้นกลายเป็นงูมีพิษเลื้อยไปตามพุ่มไม้ต่างๆจนไกลตัวฟาโรห์ราห์ แต่ด้วยทรงไม่ระวังพระองค์จึงถูกงูมีพิษนั้นกัดเข้า 
     "โอ๊ย....ช่วยด้วย....ข้า...ข้า...ข้าถูกงูกัด ช่วยข้าด้วย....." เหล่าองครักษ์เข้ามาช่วยนำองค์ฟาโรห์ราห์ไปยังพระตำหนัก
     องค์ฟาโรห์ราห์ทรงอยู่อย่างทรมานด้วยความร้อนจากพิษนั้นแผ่ขยายไปทางพระวรกาย หมอหลวง หรือ แม้แต่เทพยดาด้วยกันเองยังมิอาจจะรักษาอาการของพระองค์ได้จนในที่สุด พระชายาไอซิสปรากฏกายขึ้นพร้อมเข้ามาเพื่อรักษาพระอาการของพระองค์ 
    "หม่อมฉันแต่องค์ฟาโรห์ หม่อมฉันขอรับใช้พระองค์ ช่วยรักษาพระอาการของพระองค์ให้หาย"
     "โอ้...ไอซิสเหลนสาวของข้า ช่วยทีเถิด ข้าทรมานเหลือเกิน..."
    "แต่หม่อมฉันขอข้อแม้จากพระองค์สองประการแลกกับการรักษาพระอาการของพระองค์"
     "ได้ เจ้าจงขอมาเถิดเหลนข้า"
    "ประการแรก พระองค์ทรงต้องบอกเวทย์มนต์อันสูงสุดแห่งจักรวาลให้แก่หม่อมฉัน"
     "ได้ ข้าจะบอกแก่เจ้า.... เวทย์มนต์อันสูงสุดแห่งจักรวาลนั้น คือ นามแห่งข้า"
     "ราห์.......หรือ....?"
     "ใช่ เพียงกล่าวชื่อของข้า มันจะกลายเป็นเวทย์มนต์ชั้นสุดยอดเลยทีเดียว และสิ่งที่เจ้าต้องการประการสุดท้ายเหล่า คือ ?"
    "พระองค์ต้องสละบัลลังก์ฟาโรห์ให้แก่องค์ชายโอซิริส...."
     องค์ฟาโรห์อึ้งกับคำขอประการที่สองของพระชายาไอซิส แต่พระองค์ด้วยเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดของพิษงูที่วิ่งอยู่ในกระแสพระโลหิต 
   "ได้....ข้ายอมสละบัลลังก์ให้กับโอซิริส....."
     จากนั้นพระชายาไอซิสร่ายเวทย์มนต์ลงไปยังแผลรอยงูกัดเรื่อยๆจนสุดท้ายอาการร้อนแสบเจ็บปวดก็บรรเทาลงจงหายเป็นปกติ 

    "ข้า...ยินยอมมอบบังลังก์ให้แก่โอซิริสและข้าและบริวารเทพยดาของข้าจะต้องเดินทางกลับสู่โลกเทพเจ้าไอยคุปต์โบราณ"

  "เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นเพคะ"
       น้ำตาไหลรินจากดวงเนตรอันรุกเป็นเปลวแค้นนั้นนองทั้งสองแก้มของสุริยเทพราห์
    "ข้าจำได้..ว่านางกระล่อนแค่ไหน....."
    "เช่นนั้นแล้ว พระองค์จะยอมนางอีกหรือ.....?"
     แต่แล้ว....
     "ข้าขอนมัสการองค์สุริยเทพราห์ผู้ศักดิ์สิทธิ์..." เสียงหวานอันนุ่มนวลที่สุดแห่งแดนสวรรค์ 
     องค์สุริยเทพหันไปทางเส้นทางเสียงนั้น ปรากฏร่างของหญิงสาวกายผิวขาวบริสุทธิ์ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาราบนฟ้ายามราตรี สวมแต่งอาภรณ์ด้วยผ้าสีขมพูอ่อนและเครื่องประทับน้อยชิ้นไม่เกินงาม แต่ที่น่ามองเป็นที่สุดคือ หน้าอกอันอิ่มงดงาม และขาอันเรียงงามของนาง สุริยเทพราห์ถูกกลับอมยิ้มได้ทันที 
     "ที่แท้ก็กามเทพีฮาเทอร์นั้นเอง"
     "เพคะพระองค์ วันนี้หม่อมฉันนำดอกไม้เหล่านี้มาถวายเพคะ"
     กามเทพีฮาเทอร์ยกตระกร้าไม้สานที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันมอบให้แด่องค์สุริยเทพราห์
   "ข้าขอบใจน้ำใจเจ้านะ กามเทพีฮาเทอร์... เจ้าทำให้ข้ามีความสุขทุกครั้งที่พบเจอกัน" องค์สุริยเทพราห์ยิ้ม 
   "พระองค์เป็นผู้ใหญ่ที่หม่อมฉันเคารพไม่ต่างจากปู่หรือพ่อของหม่อมฉันเพคะ"
   "อืม...ดี " องค์สุริยเทพราห์เริ่มไม่พอพระทัยเล็กน้อยแต่ก็แอบเอาไว้ในใจ ที่แท้พระองค์ทรงหลงรักเทพีสาวพระองค์นี้นี่เอง 
   "เมื่อกี้พระองค์ทรงทำอันใดอยู่หรือเพคะ ?"
    "ข้านั้นเหรอ....กำลัง....กำลัง......" องค์สุริยเทพราห์หันมองไปเบื้องหลังกลับไร้วี่แววของอธรรมเทพเช็ตเสียแล้ว
     "ข้าไม่ได้ทำอันใดหรอก ข้ากำลังชมวิวบนโลกมนุษย์ในยามเช้า และประทานให้แก่ชาวอียิปต์ทั้งหลาย"
   "พระองค์ช่างทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาจริงๆเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันขอลานะเพคะ หากมีโอกาสหม่อมฉันจะมาเยี่ยมเพคะ"
  กามเทพีฮาเทอร์หายวับไปต่อพระพักตร์สุริยเทพราห์ พระองค์ทรงยิ้มแย้มและมีความสุข พระองค์ทรงหยิบดอกไม้ดอกที่พระองค์เห็นว่ามันสวยที่สุดออกดอกหนึ่งแล้วสูบดมมัน 
    "ช่างหอมและงดงามอะไรปานนี้" พระองค์ทรงตกอยู่ในห้วงแห่งเสน่หาเสียแล้ว.....
 

 

http://writer.dek-d.com/chanin34/writer/viewlongc.php?id=763180&chapter=12

 

ความคิดเห็น